วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562

OLOS IN EUROPE : AUSTRIA, CZECH and HUNGARY : ทัวร์ 7 วัน 5 คืน บิน KLM

สวัสดีครับ

หลังจากช่วงสงกรานต์ไปเยือนดินแดนสองทวีปอย่างตุรกี ซึ่งมีกลิ่นอายของทั้งเอเชียและยุโรปมาแล้ว
เมื่อช่วง 31 พ.ค. ถึง 6 มิ.ย. 62 ที่ผ่านมา ก็ไปเที่ยวยุโรป 3 ประเทศ ออสเตรีย เช็ค ฮังการี มาครับ
เป็นการซื้อทัวร์เหมือนเคย เพราะขี้เกียจหาข้อมูล ทำแพลน 555 สะดวกดี

ถ้าใครยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้เคยมาเที่ยวยุโรปแค่ประเทศเดียว คือ ไอร์แลนด์ ครับ
ฉะนั้นยังมีอีกหลายประเทศในยุโรปที่อยากไป เพราะแต่ละประเทศก็มีแต่สถานที่สวยๆ กันทั้งนั้น

พร้อมกันแล้วก็ออกเดินทางกันเลยนะครับ


ทัวร์นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอน 9 โมงเช้า
ถ้าจะเดินทางมาจากต่างจังหวัดมาวันนั้นเลยก็กลัวจะมีเหตุสุดวิสัย
เลยต้องขับรถมาค้างคืนที่ กทม.ก่อนคืนนึง และตอนเช้าก็ขับรถไปสนามบิน
เราแวะจอดรถกันที่แถวๆ ซอยกิ่งแก้ว 45 ครับ ของ ที่จอดรถ.com

ตอนนั้นมีโปร 999 +7% = 1068.93 / 15 วัน เฉลี่ยแล้วเสียค่าจอดวันละ 72 บาท ถูกมากๆ
รู้สึกตอนนี้จะมีโปรเดียวกัน แต่จอดได้แค่ 7 วันนะครับ ยังไงก็คุ้มอยู่ดี
มีรถตู้รับ-ส่งไปยังสนามบิน เวลาเครื่องลง รับกระเป๋าเสร็จก็โทรแจ้งให้เจ้าหน้าที่มารับ
ประมาณไม่เกิน 15 นาที ถ้ารถติดก็นานกว่านั้นครับ
ดีกว่าไปจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ วันละ 250 บาท
หรือจอดอยู่บ้าน เสียค่าแท็กซี่จากบ้านไปกลับสนามบิน ก็เกือบพันแล้วครับ

ส่วนกุญแจรถ ไม่ต้องฝากครับ ถือติดตัวเราไปได้เลย
สามารถดูกล้องวงจรปิดผ่านแอพได้ด้วย แต่ตอนที่ไปเข้ารหัสแล้วดูไม่ได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ
ใครกำลังมองหาที่จอดรถ ระหว่างไปเที่ยว ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง แนะนำเลยครับ






รถตู้มาส่งเราที่สนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 9 โมงเช้า ตามเวลาที่ทัวร์นัดหมาย
ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน KLM Royal Dutch Airlines
เช็คอินที่เคาน์เตอร์ P (ประตูทางเข้าที่ 7)
ไฟลท์ KL0876 BANGKOK-AMSTERDAM 12:05-18:40
ไฟลท์ KL1849 AMSTERDAM-VIENNA  20:35-22:15
บอร์ดดิ้งพาสทั้งสองขา เป็นใบเดียวกัน ต้องเก็บไว้ให้ดีครับ





หลังจากผ่าน ตม. ก็ไปใช้สิทธิ์จากบัตรเครดิตให้เรียบร้อย
จากนั้นก็เดินไปนั่งรอที่เกท D6 ชาร์จแบตมือถือระหว่างรอขึ้นเครื่อง


ไฟลท์นี้บินด้วยเครื่องโบอิ้ง 777-300 ที่นั่งเป็นแบบ 3-4-3 นั่งสบายดีครับ
อาหารบนเครื่องเสิร์ฟ 2 มื้อ รอบสุดท้ายก่อนเครื่องลง จะเสิร์ฟเป็นขนมวาฟเฟิล
ผัดไทยอร่อยมากกกครับ ใครชอบเผ็ด เตรียมพริกป่นไปด้วยจะดีมากครับ







ใช้เวลาบินประมาณ 12 ชั่วโมง ก็ถึงอัมสเตอร์ดัม




จากนั้นเราต้องต่อเครื่อง จากเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ไปยัง เมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย
พอลงเครื่องเสร็จต้องผ่าน ตม. ที่นี่ก่อนครับ
ไฟลท์นี้บินด้วยเครื่องแอร์บัส 737-800 ที่นั่งแบบ 3-3
มีของว่างเสิร์ฟ เป็น Tortilla wrap scrambled eggs คล้ายๆ แผ่นแป้งโรตีห่อไข่ครับ






หลังจากลงเครื่อง รับกระเป๋าเรียบร้อย เราก็เดินลากกระเป๋าออกมายังโรงแรม NH Hotel Vienna Airport
ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับสนามบิน ระยะทางไม่ไกลมาก แต่เดินทางมาหลายชั่วโมง ก็เริ่มรู้สึกเพลียๆ แล้วครับ
แต่พอเจอห้องพักก็หายเหนื่อยเลย  ห้องสวย ดีที่สุดในทริปนี้ แต่ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปละ555





ตื่นเช้าลงมาที่ห้องอาหาร ไลน์อาหารเช้าดีมาก จัดเต็มทุกอย่าง












หลังจากจัดการอาหารเช้าเรียบร้อย ประมาณ 07.30 ก็ออกเดินทางกันแล้วครับ
หน้าตารถบัสที่เราจะนั่งตลอดทริปนี้ครับ ลูกทัวร์ประมาณ 45 คน เต๊มรถพอดี
วันนี้อากาศเย็นสบาย มุ่งหน้าสู่ฮัลล์สตัทท์  Hallstatt กันครับ
วิวระหว่างทางก็สวยงาม นั่งชมวิวกันยาวๆ ไปครับ








ประมาณ 11 โมงนิดๆ ก็เริ่มผ่านทะเลสาบแล้วครับ
สำหรับ Hallstatt เป็นหมู่บ้านมรดกโลก ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่มีอายุกว่า 4500 ปี
ตัวหมู่บ้านถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาและป่าเขียวขจี สวยงามราวกับภาพวาด
จนถูกกล่าวว่า เป็นเมืองที่โรแมนติคที่สุดในเขต Salzkammergut ของออสเตรีย













ประมาณตอนเที่ยง เราลงรถกันที่บริเวณท่าเรือครับ ก่อนที่จะเดินเท้าเข้าไปในตัวเมือง
บรรยากาศตึกสวยๆ ริมทะเลสาบ  สวยงามมากครับ แต่ท้องฟ้าเมฆเยอะ ไม่ค่อยมีแดดเลย











เราตรงมาที่ร้านอาหาร เพื่อทานมื้อเที่ยงกันก่อนครับ  มื้อนี้ มีซุป สลัดผัก และปลาย่าง
อาหารเสิร์ฟทีละอย่าง กว่าจะทานเสร็จก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงครับ
จริงๆมีของหวานเป็นไอติมปิดท้าย แต่ถ่ายไม่ทันครับ รีบกินรีบไปถ่ายรูปที่มุมมหาชนต่อ





ออกจากร้านอาหาร รีบเดินตรงไปยังมุมมหาชนครับ เพราะทัวร์นัดเจอกันที่ท่าเรือตอนบ่ายสอง
เหลือเวลาอีกแค่ 40 นาทีเท่านั้น นักท่องเที่ยวเยอะทีเดียวครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทัวร์เกาหลี




มุมมหาชนที่รอคอย  ถึงแล้วครับ Hallstatt
คนเยอะมาก ต้นไม้ก็บัง  ต้องพยายามเบี่ยงกันถ่าย









จากนั้นเราก็ออกเดินทางสู่เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ Cesky Krumlov มาถึงที่นี่ก็ประมาณ 18.00 แล้วครับ
เชสกี้ ครุมลอฟ เป็นเมืองขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในภูมิภาคโบฮีเมียใต้ของสาธารณเช็ก ซึ่งมีชื่อในเรื่องสถาปัตยกรรม ศิลปะของเมืองเก่า และปราสาทครุมลอฟ
เขตเมืองเก่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อปี 1992











เราเดินลัดเลาะไปตามเมืองเก่า ชมจัตุรัสกลางเมือง Old Town Square อันสวยงาม






จากนั้นเราก็เข้าสู่ปราสาทครุมลอฟแล้วครับ วิวจากตัวปราสาทเห็นหลังคาสีส้มของตัวอาคารที่เรียงรายอยู่ด้านล่าง
สวยงามมากๆ เป็นภาพที่กระตุ้นให้อยากมาที่นี่เลยครับ











บรรยากาศของเมืองเก่า ตัวอาคารหลากสีสัน สวยสุดๆไปเลยครับ






เราออกจากเชสกี้ ครุมลอฟ ประมาณสองทุ่ม ตรงไปยังที่พักที่เมืองเชสเก บูเดอยอวิช Ceske Budejovice
ถึงที่พักประมาณ 3 ทุ่ม  เราพักกันที่ Relax Hotel Pelikan
ลงรถปุ๊ป ก็ทานมื้อค่ำกันก่อนเลย หน้าตาอาหารมื้อค้ำก็จะประมาณนี้ มีซุป สลัด อกไก่ และของหวานปิดท้าย






ทานมื้อค่ำเสร็จเรียบร้อย ยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นสองครับ
ห้องพักโอเคใช้ได้ นอนหลับสบายดี
ตอนแรกเปิดประตูเข้ามา ก็สงสัยว่าข้างบนเตียงนอนคืออะไรหว่า
มองจากข้างนอกก็คิดว่า น่าจะเป็นปล่องตรงหลังคามั้งครับ





เช้าวันใหม่ บรรยากาศริมแม่น้ำด้านหน้าที่พัก หมอกเยอะเลยครับ



ฝั่งตรงข้ามที่พักจะเป็นโบสถ์ แถวนี้มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆหลายที่เลย


ประมาณ 7 โมง ได้เวลาทานมื้อเช้าที่ห้องอาหาร จากนั้นเตรียมตัวออกเดินทางประมาณ 8โมงเช้า


เช้านี้เราจะเดินทางท่องเที่ยวกันในเมืองเชสเก บูเดอยอวิช โดยนั่งรถราง หน้าตาเหมือนรถไฟ ไปยัง Chateau of Hluboka
ซึ่งเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสาธารณเช็ค สร้างขึ้นในยุคกลางหรือประมาณช่วงกลางศตวรรษที่ 13
เดิมปราสาทถูกสร้างในแบบโกธิก ต่อมาในปี 1840 ได้มีการปรับเปลี่ยนปราสาทให้คล้ายกับพระราชวังวินเซอร์ ของอังกฤษ โดยมีความโรแมนติคมากขึ้น






จากนั้นเดินไปยังเขตเมืองเก่าของ Ceske Budejovice



จัตุรัสกลางเมือง ตรงกลางเป็นลานน้ำพุ บรรยากาศดีทีเดียวครับ







ประมาณ 11 โมง ก็ออกเดินทางไปยังกรุงปราก Prague เมืองหลวงของสาธารณเช็ค



ราวๆบ่ายโมงครึ่ง แวะทานมื่อเที่ยงกันก่อนครับ อาหารเป็นซุป ไก่ และไอติม






จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังปราสาทปราก Prague Castle ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.885
เคยใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์สมัยต่างๆ ปัจจุบันใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล และที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งสาธารณเช็ก






บริเวณใกล้กันเป็นมหาวิหารเซนต์วิตัส  St.Vitus Cathedral
โบสถ์เก่าแก่สไตล์โกธิก สร้างขึ้นในปี 1929 เป็นมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณค่ายิ่ง
เนื่องจากใช้เป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์พระองค์ต่างๆ และยังเป็นที่เก็บมงกุฎเพชรที่ทำขึ้นในสมัยพระเจ้าชาร์ลที่ 4









จากนั้นเดินไปยังจุดชมวิวมุมสูง ตรงนี้มองเห็นสะพานชาร์ลแบบไกลๆ ด้วยครับ
ตอนเดินลงก็จะลงตามทางเดินเป็นหินขรุขระๆหน่อย



พอลงมาถึงด้านล่างก็เลี้ยวขวาเดินไปตามทาง จะเจอมุมนี้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
มีฝูงหงส์มาว่ายน้ำเล่นอยู่แถวนี้พอดีเลย







เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็ถึงสะพานชาร์ล Charles Bridge
ซึ่งสร้างข้ามแม่น้ำวัลตาวาในช่วงศตวรรษที่ 14 แต่เดิมเรียกว่า สะพานปราก
ต่อมาในปี 1870 ได้เปลี่ยนชื่อตามพระนามพระเจ้าชาร์ล
สะพานนี้มีความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิก
ตลอดราวสะพานมีประติมากรรมหินทรายรูปปั้นของนักบุญต่างๆ











ลงจากสะพานเลี้ยวขวาผ่านร้านขายของที่ตั้งเรียงราย มาเก็บรูปสะพานชาร์ลอีกมุมนึงครับ



จากนั้นเดินย้อนกลับมาทางเดิม เพื่อไปยังเขตเมืองเก่า




พอออกมาถึงจัตุรัสเมืองเก่า สตาเรเมสโต Stare Mesto Square จะเห็นหอนาฬิกาดาราศาสตร์ Astronomical Clock
ที่ทุกๆชั่วโมงจะมีตุ๊กตาสาวกพระคริสต์ ออกมาเดินผ่านหน้าต่างเล็กๆด้านบนหอคอย จนครบทั้ง 12 องค์
เอาจริงๆ มองแทบไม่เห็นเลยครับ 555





บริเวณ จัตุรัสเมืองเก่า สตาเรเมสโต Stare Mesto Square เป็นสถานที่พบของชาวปราก
โดยรอบเป็นอาคาร และวิหารเก่าแก่ อายุกว่า 600-700 ปี










จากนั้นประมาณทุ่มครึ่ง เราก็เดินทางไปยังร้านอาหารจีน เพื่อทานมื้อเย็น
แต่ติดปัญหาเรื่องรถบัสที่จะมารับ เข้ามาไม่ได้ ทางทัวร์เลยจัดให้นั่งแท็กซี่ไปแทน
หลังจากทานอาหารฝรั่งมานาน ก็ได้ทานอาหารจีนแล้วว เย่






ประมาณเกือบสองทุ่ม หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงที่พัก Expo Hotel







หลังทานมื้อเช้าเรียบร้อย วันนี้เราออกเดินทางไปยังเมืองบูดาเปส Budapest
นั่งรถกันยาวๆไปเลยครับ เราแวะทานมื้อเที่ยงกันที่เวียนนา ร้าน Happy Buddha
อาหารอร่อยมาก อร่อยสุดของทริปนี้ก็มื้อนี้ล่ะครับ 555 แนะนำเลย












จากนั้นประมาณ 14.15 แวะช็อปปิ่งย่าน Old Town ที่เวียนนากันแปปนึงครับ
มีเวลาให้ช็อปประมาณ 2 ชั่วโมง ย่านนี้ก็จะมีร้านค้า ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดัง มากมายให้เลือกช็อปกัน









ใกล้ๆกัน เป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์สตีเฟ่น St.Stephen's Cathedral
โบสถ์เก่าแก่สมัยโกธิก สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์คู่บ้านคู่เมืองของออสเตรีย











ไส้กรอกขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาตืเค็มนิดๆครับ


เราออกจากเวียนนา 16.30 กว่าจะมาถึงบูดาเปส ก็ประมาณสองทุ่มนิดๆครับ
แวะทานมื้อค่ำที่ร้านอาหาร Borkatakomba
ภายในร้านตกแต่งอย่างสวยงาม








อาหารก็จะมีซุป สลัด และไก่ เหมือนเคยครับ
เสิร์ฟซุปเป็นอย่างแรก กว่าจะเสิร์ฟสลัด ก็รอไปอีก 40 นาที ทำให้เสียเวลารอนานมากครับ
ระหว่างรอก็มีโชว์มาให้ชมอยู่ตลอด ทำให้ไม่น่าเบื่อเท่าไร
แต่คนที่จะอารมณ์เสียก็คือ คนขับรถที่รอแล้วรออีก พวกเราก็ยังทานไม่เสร็จสักที
มันเลยเวลาทำงานของเค้ามานานแล้ว จนประมาณสี่ทุ่ม กินเสร็จไม่เสร็จก็ต้องลุกละครับ
ของหวานก็ยังไม่ได้ทาน ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ คงโดนทิ้ง ต้องเดินกลับที่พักเองแน่ๆเลย 5555









เราพักกันที่โรงแรม Danubius Hotel Budapest ครับ
ห้องพักก็พอใช้ได้ครับ อาจจะดูเก่าไปสักนิด แต่มีป้ายรถรางรถบัส อยู่ด้านหน้าโรงแรมเลย






ไลน์อาหารเช้าของที่นี่ ไม่เยอะมากเท่าไร


วันสุดท้ายของทริปที่บูดาเปสท์ เป็นวันฟรีเดย์ครับ
ทางทัวร์แจกตั๋ว Budapest Card 24 HRS ให้คนละใบสำหรับใช้เดินทางรถสาธารณะได้ทั้งวัน

สถานที่แรกที่เราจะไปคือ Castel Hill เพื่อไปชม Fisherman's Bastion
ป้อมชาวประมง ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงความกล้าหาญของชาวประมง ผู้เสียสละชีวิต ปกป้องบ้านเมือง
ในช่วงที่ถูกมองโกลรุกรานในปี 1241-1242






อนุสาวรีย์ของพระเจ้าสตีเฟ่น ปฐมกษัตริย์ของชาวแมกยาร์ท ทรงม้าเด่นเป็นสง่า อยู่หน้าป้อมปราการ



วิวจากป้อมชาวประมง มองเห็นอาคารรัฐสภาฮังการี ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม




จากนั้นเราเดินต่อตามทางไปยังปราสาทบูดา Buda Castle
ระยะทางไม่ไกลมากครับ เดินได้สบายๆ





จากจุดนี้สามารถมองเห็นสะพานโซ่  Scechenyi Chain Bridge
ซึ่งเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุด เชื่อมต่อระหว่างเมืองทั้งสองฝั่ง คือ ฝั่ง Buda และฝั่ง Pest เข้าด้วยกัน
สะพานเหล็กแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองบูดาเปสท์ ครับ


Buda Castle เป็นสัญลักษณ์ของเมืองบูดาเปสท์ ตัวปราสาทมีความยาวกว่า 300 เมตร
อดีตเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ฮังการี และเป็นป้อมปราการสำหรับป้องกันผู้รุกราน
ปัจจุบันภายในเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ มีชุดเกราะและของโบราณมากมาย
วิวที่มองจากปราสาทบูดา มายังแม่น้ำดานูบก็สวยมากๆ เช่นกัน







หลังจากนั้นเราก็นั่งรถรางลงมายังด้านล่างบริเวณตีนสะพานโซ่
ค่าตั๋วรถราง  1200 โฟรินท์ฮังการี ใช้เวลาแค่ 2-3 นาที ก็ถึงแล้วครับ
จริงๆเดินลงมาก็ได้ครับ ระยะทางประมาณ 400-500 เมตร







จากนั้นเราก็เดินข้ามสะพานโซ่เพื่อไปขึ่นรถรางที่ฝั่ง Pest ไปยัง Central Market ครับ
สะพานนี้แขวนไว้ด้วยโซ่เหล็ก ที่เชื่อมต่อตั้งแต่ด้านบนยอดเสาไปตลอดช่วงของสะพาน
ตรงบริเวณทางขึ้นสะพาน มีรูปปั้นสิงโตตั้งอยู่







ถึงแล้วครับ Central Market ภายในก็จะเป็นตลาดขายผักผลไม้
รวมถึงมีร้านอาหาร ร้านขนม มีแทบทุกอย่างเลยครับ








เดินชมตลาดสักพัก ก็เดินข้ามถนนจากตลาด มาฝั่งตรงข้าม ตรงนี้มี Burker King ด้วยครับ เผื่อใครอยากฝากท้อง
แต่เราเดินตรงไปอีก แล้วเลี้ยวขวา เพื่อไปยังร้านอาหารไทย Bangkok Thai Restaurant
มาเที่ยวหลายวัน คิดถึงอาหารไทยมาก เลยต้องมาจัดที่ร้านนี้ครับ
ราคาอาหารไม่แพงมากครับ อาหารชุดมื้อเที่ยง 1500 โฟรินทร์ฮังการี มีอาหารว่าง 1 อย่าง กับ อาหารจานเดียวพวกข้าว อีก 1 จาน
รสชาติก็อร่อยด้วยครับ ใครมาแถวนี้ ลองแวะมาทานดูครับ สามารถรูดบัตรเครดิตได้ รับเงินยูโรด้วย ไม่มีชาร์จครับ
















จากร้านอาหาร เรานั่งรถบัสต่อไปยัง จัตุรัสวีรชน Heroes'Square
สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 1000 ปี ประเทศฮังการี
จัตุรัสวีรชนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์วีรบุรุษของฮังการี ในอดีต
ประกอบด้วยผู้นำชาวฮังการีในการพิชิตชาวคาร์ปาเธียน รวมไปถึงหัวหน้าชนเผ่าฮังการีทั้งเจ็ด
ตรงกลางมีเสาสีขาว สูง 36 เมตร บนยอดเสามีรูปปั้นของกาเบรียล หัวหน้าทูตสวรรค์ยืนอยู่








จากนั้น เดินต่อไปยัง ปราสาท Vajdahunyad ซึ้งอยู่ใกล้ๆ กัน
ตั้งอยู่ใน City Park สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1896 เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการพันปี
ฉลอง 1000 ปี ประเทศฮังการี ออกแบบโดย Ignac Alpar
โดยมีสำเนาของอาคารสถานที่สำคัญหลายแห่งจากส่วนต่างๆ ของราชอาณาจักรฮังการี











จากนั้นบ่ายแก่ๆ ก็กลับที่พัก
ก่อนจะออกมาถ่ายภาพอีกทีตอนค่ำๆ บริเวณป้อมประมง และปราสาทบูดาต่อ







เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานมื้อเช้า ก็นั่งรถตรงไปยังเวียนนาเพื่อไปสนามบิน





ใช้เวลาบินจากเวียนนา ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงอัมสเตอร์ดัม
เพื่อต่อเครื่องบินกลับกรุงเทพ ด้วยไฟลท์ KL0875 ครับ






โดยรวมแล้วประทับใจทริปนี้มากครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามชมนะครับ เจอกันใหม่โอกาสหน้านะครับ เพี้ยนออกทริป