วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

OLOS in New Zealand, So Much In Love [Day 2] " Arthur's Pass & West Coast, Road of Happiness "


สวัสดีครับ

หลังจากเมื่อวานเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และท่องเที่ยวกันแล้ว

วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะเริ่มออกเดินทางจากเมือง Christchurch กันแล้วครับ 

และนี่คือแผนการเดินทางของวันนี้

Christchurch - Arthur's Pass - Greymouth - Punakaiki - Hokitika

วันนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้า  ประมาณ 06.45 เพราะแผนการเดินทางวันนี้ เยอะเหมือนกัน  กลัวจะเก็บได้ไม่หมด

บรรยากาศยามเช้า บนถนนด้านหน้าที่พัก แสงสวย มาก  เพิ่งเคยเห็นฟ้าสีชมพูสวยๆแบบนี้เป็นครั้งแรก smile

ก่อนออกเดินทางอย่าลืมเช็คให้เรียบร้อยว่า มีน้ำมันพอสำหรับการเดินทาง หรือไม่ ด้วยนะครับ



เราจะใช้เส้นทาง  State Highway 73 มุ่งหน้าสู่   Arthur's Pass ซึ่งห่างจาก Christchurch ประมาณ  155 km


ออกจากตัวเมืองมาทาง Riccarton st. เพื่อเข้าสู่ State Highway 73

เมื่อขับออกมากที่ถนนใหญ่  รถเริ่มเยอะขึ้น เพราะเป็นเช้าวันจันทร์ วันแรกของการทำงาน



โฉมหน้าเจ้า GPS เพื่อนนำทางของเราตลอดทั้งทริป  เป็นจอ touch screen ครับ

เวลาจะไปก็พิมพ์ชื่อ ถนน /เมืองปลายทางที่เราต้องการ มันก็จะบอกว่าเหลือระยะทางอีกกี่กิโล จะถึงปลายทาง
เลี้ยวซ้ายข้างหน้าอีกกี่เมตร  บางทีขับเร็วไป เลี้ยวไม่ทัน นึกว่าอีกแยกนึงถึงเลี้ยว ฮ่าฮ่าฮ่า  เพราะมันคิดรวมระยะทางเวลาตีวงเลี้ยวด้วย

แต่ยังดีที่เรา print ที่อยู่ ถนน ของ ที่พัก + สถานที่ต่างๆมาด้วย ไม่อย่างนั้น  คงหายากน่าดู 



ขับมาเรื่อยๆ เริ่มออกสู่นอกเมืองเห็นภูเขาอยู่ตรงหน้า วิวข้างทางสวยงาม

ส่วนใหญ่จะทำฟาร์มปศุสัตว์ และ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ 



เวลาข้ามทางรถไฟ ต้องระวังนิดนึงนะครับ แต่ก็ไม่เห็นรถไฟวิ่งเลย

ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งรถไฟ สาย TranzAlpine มาก็ได้นะครับ จาก Christchurch -Greymouth

ไป -กลับ ราคาประมาณ 199 nz$



รถไฟสาย TranzAlpine จะวิ่งระหว่างฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก เชื่อมระหว่างเมืองไครส์ทเชิร์ชกับเมืองเกรย์เมาท์

เส้นทางรถไฟสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางรถไฟ 1 ใน6 เส้นทางที่สวยที่สุดในโลก
http://www.tranzscenic.co.nz/services/tranzalpine.aspx


เราใช้เส้นทาง หมายเลข 73 มุ่งหน้าสู่ Arthur's Pass

มีป้ายบอกตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงครับ เส้นทางหลักๆ มีแค่เส้นเดียว 



07.45  เริ่มเข้าสู่ เมือง Darfield ถ้ามีบ้านอยู่ท่ามกลางหุบเขา  แบบนี้คงดีไม่น้อย


ท้องฟ้าวันนี้มีเมฆมาก  แต่ยังพอมีแดดส่องบ้างเป็นช่วงๆ


ขับไปเจอรถสวนมาบ้าง แต่น้อย  ส่วนใหญ่เค้าจะขับแซงเรามากกว่า

แถมวิ่งกันความเร็วเกิน 100 ทั้งนั้น  สงสัยเค้าไม่กลัวตำรวจ  แต่เรากลัวฮ่าฮ่าฮ่า

ที่นี่ถ้าไม่มีเสาไฟฟ้า คงจะสวยมาก เพราะไม่มีอะไรมาขัดสายตา 



เจอฝูงแกะฝูงแรก แต่เป็นแกะไร้ขน ฮ่าฮ่าฮ่า

สงสัยจะเพิ่งโดนตัดขนไป  ตอนที่ลงไปถ่าย มันเดินหนีกันหมดเลย



และแล้วเราก็เข้าสู่เมือง Sheffield

แวะร้านพายซักหน่อย  Sheffield Pie Shop อยู่ด้านซ้ายมือครับ

ฝั่งตรงข้ามร้านจะเป็นป้ายชื่อเมือง อันใหญ่ 



เดินเข้ามาในร้านก็หอมกลิ่นขนมอบอวลไปทั่วร้านเลยครับ

เห็นเค้าเพิ่งทำร้อนๆ  ออกจากเตา 



มีหลายไส้ให้เลือก ทั้ง ไก่ และ แกะ


ซื้อมาลองชิมดู 2 ชิ้น  ชิ้นละ 4 nz$ รสชาติก็อร่อยดีนะครับ เยิ้มๆเลยทีเดียว


ออกจากร้านพาย มุ่งหน้าเดินทางต่อไป  ฟ้าครึ้มๆ  ไม่มีแดดเลย


อย่างที่บอกว่าส่วนใหญ่จะเป็นฟาร์มปศุสัตว์เลี้ยงพวก แกะ วัว

นี่ฝูงวัวดำกลางทุ่ง  วัวที่นี่ตัว ทั้งใหญ่และหนา มาก 



เริ่มเข้าสู่ เมือง Springfield เป็นเมืองที่อยู่บริเวณ ตีนเขาของ Southern Alps

และเป็นเมืองสุดท้ายที่วิวข้างทางจะเป็น ที่ราบ Canterbury หลังจากเมืองนี้ก็จะเริ่มเข้าเขตแนวเขาแล้วครับ

เข้าเมืองปั๊ป ก็เจอคอกม้าเล็กๆ ข้างทางพอดี  จอดแทบไม่ทัน



เจ้าตัวนี้น่ารักมาก  ลงรถปุ๊ป เดินเข้ามาหาเลย


เหมือนจะเป็นม้าแคระ ครับ น่ารักเหมือนตุ๊กตา แต่แววตามันเศร้าๆ ไงไม่รู้ 


แดดเริ่มออก  ที่นี่จะมีทุ่งหญ้าเขียวๆ ที่ปลูกหญ้าไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์อยู่ตลอดทาง

ส่วนใหญ่จะใช้ สปริงเกอร์ ติด ล้อ ไว้รดน้ำได้ทั่วทั้งไร่  แทนการใช้แรงงานคน



เริ่มมีวิวทิวทัศน์ที่แปลกตาบ้าง

ปล.รูปส่วนใหญ่ ถ่ายผ่านกระจก บนรถที่กำลังวิ่ง ด้วยความเร็ว 100 นะครับ จะไหวๆ ไม่ชัดบ้าง แหะๆ



เริ่มต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำกันบ้าง แล้ว   ให้สังเกตลูกศร ถ้าเลนเราใหญ่กว่า ก็ได้ไปก่อน   ถ้าอีกเลยใหญ่กว่าต้องจอดให้เค้ามาก่อนครับ

แต่สังเกตว่า มันจะให้อีกฝั่งใหญ่ทั้งสอง จุด เลย  ตกลงก็คือต่างคนต่างให้กันไปก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า

ที่นี่เวลาขับผ่านกันตรงสะพาน เค้าจะโบกมือ ทักทายกันด้วย



แม่น้ำ ลำธาร ส่วนใหญ่แห้งแล้งมากๆ ไม่ค่อยมีน้ำ


เจอแต่วิวภูเขาหัวโล้นสีน้ำตาลไปตลอดทางเลย ครับ 


หลังจากออกจาก เมือง Springfield  อากาศก็ครึ้ม ๆ ไปแบบนี้


จากนั้นเริ่มเข้าสู่ Porter's Pass เป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาเล่นสกี ในหน้าหนาว

เป็น ทางบนหุบเขา อยู่ที่ความสูง 942 เมตร ช่วงนี้จะเป็นเนินโค้งเคี้ยว    แต่ถนนที่นี่ดีมากครับ เค้าดูแลซ่อมแซม  เวลาเข้าโค้งก็องศาดีมาก



เลยจาก Porter's Pass ไปไม่ไกล ก็จะถึง Castle Hill แล้วครับhttp://www.teara.govt.nz/en/canterbury-places/14


จุดแวะจุดแรก Castle Hill

ที่นี่เข้าไปก็จะเป็นลานจอดรถกว้างๆ มีห้องน้ำแต่เป็นส้วมหลุมครับ

หลายคนอาจสงสัยว่ามันเป็นยังไง

ส้วมหลุมที่นี่จะเป็น โถนั่งปกติ แต่ว่า ที่เราปล่อยลงไปมันจะเป็นหลุม ลึก ครับ

ไม่มีน้ำกด น้ำราด นะครับ อิอิ  ถ้าไม่ซีเรียส ก็เอาขาเหยียบคร่อมโถเลยครับ



แผนที่แสดงจุดแวะ ต่างๆ ตามทาง  เยอะทีเดียว


มาถึงตั้งแต่ยังไม่ 9 โมง ไม่มีคนเลย อากาศดีมากๆ ลมเย็นสบาย  แต่ไม่มีแดดเนี่ยสิหยอกเย้า

Castle Hill มีลักษณะเป็นกองหิน ขนาดใหญ่ วางกระจัดกระจายอยู่ตามเทือกเขา



ดูแล้วก็ยังไม่ว้าว บ้านเราแปลกกว่านี้ก็มีนะ


ออกจาก Castle Hill  ขับต่อไปนิดเดียวก็เจอ Castle Hill Village

ไม่มีคนเลย  เลยไม่ได้แวะเข้าไปครับ



ขับไปเรื่อยๆ มองไปด้านหน้า เจอ Lake

แต่หันไปดูด้านข้าง Lake เจอฝูงแกะ  จอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  รีบวิ่งลงไปถ่าย  แต่พอลงไปมันเดินหนีกันหมดเลย



บางตัวก็เงยหน้ามามอง บางตัวเดินหนี หันตรูดให้อีก หยอกเย้า

อุตส่าห์ ตะโกนเรียก แกะ ตามที่พี่แอมนางฟ้าบอก ก็ไม่ได้ผล



ดูแกะเสร็จแล้ว  ก็กลับมาถ่ายรูป  Lake Pearson  ซึ่งอยู่บริเวณทางโค้งเลย

ดูแล้วไม่ค่อยสวย สงสัยเพราะว่าไม่มีแดด cry   ถ้ามีแดดมาตกกระทบผิวน้ำคงจะสวยกว่านี้ ครับ



ขับต่อมาอีกหน่อย เจอต้นไม้เปลี่ยนสี เลยลงไปถ่ายรูป

คาดว่าจะเป็น Lake Pearson เหมือนกัน

ต้องตาดีดีนะครับ เวลาขับรถ ไม่งั้นจะขับผ่านไปหมด



มุมนี้เห็นกันทุกรีวิว ฮ่าฮ่าฮ่า  ถนนช่วงนี้วิวสวยเป็นทางลง - ขึ้นเขา

และเทือกเขาด้านหน้า ก็เริ่มเข้าสู่  Arthur's Pass แล้วครับ

ส่วนด้านขวามือของภาพ เป็น Lake Grasmere ถ่ายมาไม่ทัน



สองข้างทางยังคงมีต้นไม้เปลี่ยนสีเป็นระยะๆ ถ่ายกันมันส์ เลยครับ

แต่ไม่ชัดซักกะรูป ฮ่าฮ่าฮ่า    ขนาดปรับความเร็วชัตเตอร์แล้วนะ

ถ้าให้ดี จอด เลยครับ จะได้ไม่เสียใจอย่างผม



ตอนนี้จากทางราบ เราเริ่มเข้าแนวเขาแล้ว   ถนนตัดผ่านแนวเขาไปเรื่อยๆ


เมฆหนาสุดๆ อากาศไม่ค่อยเป็นใจเลย  เอาน่า คิดซะว่า ..ดีกว่าฝนตก


นานๆจะได้เห็นต้นไม้เปลี่ยนสี เป็นสีแดง


ประมาณ 10 โมง เราก็ถึงสะพานที่เป็น One Lane Bridge

เพื่อจะข้ามไป  Waimakariri Valley

 

ต่อแถว รอรถจากอีกฝั่งข้ามมาก่อน

ถ้าเป็นคนนิวซีแลนด์ เค้าจะโบกมือให้เราด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นการขอบคุณ

 

มองไปที่แม่น้ำ แห้งมากกกกกกก ไม่มีน้ำเลย

น้ำน่าจะไหลมาจากหิมะบนเทือกเขาน่ะครับ



ข้ามแม่น้ำมาได้ ซัก 15นาที ก็ ถึง  Arthur's Pass แล้วครับ smile ซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง  Southern Alps

ชาวยุโรปผู้ค้นพบเส้นทางนี้ในปี 1864 ในช่วงยุคตื่นทอง เพื่อใช้เป็นเส้นทางในการขนทองข้ามเขตเซาท์เทิร์นแอลป์ไปยังเมืองไครส์เชิรช์

ชาวเมารี ก็เคยใช้เส้นทางนี้ ข้ามไปฝั่ง  West Coast เพื่อหาหยก

ที่นี่ในหน้าหนาว จะกลายเป็นที่เล่นกีฬา อย่างสกี  หรือ เดินป่า ไต่เขา ล่าสัตว์ รวมทั้งเป็นจุดแวะค้างคืน ด้วยครับ
http://www.arthurspass.com/


ที่เห็นคือห้องน้ำนะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า  ก่อนไปก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจุดแวะเนี่ย คืออะไร อิอิ

ห้องน้ำที่นี่ใหญ่เหมือนกันครับ คงเป็นจุดแวะพักกลางทาง สำหรับนักท่องเที่ยว  มีที่จอดรถเยอะเชียว 



ฝั่งตรงข้ามที่นี่จะเป็น Arthur's Pass Village มี Cafe, I-site

รวมถึงที่พักต่างๆ ก็อยู่บริเวณนี้ครับ 







นกกระจอกนิวซีแลนด์ ฮ่าฮ่าฮ่า

ตัวอ้วนกลมกว่าบ้านเราแฮะ



จาก Arthur's Pass ประมาณ 15นาที (10km) ก็จะถึง Otira Viaduct หรือ "สะพานลอยฟ้า" smile

สะพานนี้มีความยาวประมาณ 440 เมตร อยู่สูงจากพื้นดิน 100 เมตร 



สะพานนี้ เปิดใช้มาได้ 10 ปีแล้วครับ บนนี้ลมแรงมากๆ อากาศเย็นทีเดียว

คนอื่นเค้าเจอนก Kea กันที่นี่ เราไม่ยักเจอ



นี่เป็นทางขึ้นมายัง Otira Viaduct  

ถ้ากลัวมองไม่เห็น สังเกต โครงเสา อันใหญ่ๆ ไว้ครับ จะได้ไม่พลาด 



ผ่านสะพานมาได้นิดเดียวก็เจอ Otira Gorge ถ่ายเกือบไม่ทันแน่ะ เพราะมันไม่มีที่จอดเลยครับ ต้องถ่ายบนรถ

ลักษณะเหมือนเป็นถนนมีหลังคา  เพื่อป้องกันหิน น้ำที่ไหลจากภูเขาลงมา ขวางเส้นทาง 



ผ่าน One Lane Bridge  เป็นสะพานข้าม Taopo River

แต่มันเหมือนลำธารมากกว่านะ



ประมาณเที่ยงเราก็ถึงเมือง Kumura หาที่เข้าห้องน้ำ เลยแวะกินข้าวกันแถวๆ ห้องน้ำนั่นแหละครับ อิอิ

บริเวณนี้มีทุ่งหญ้าสีเขียว กว้างๆ ด้วย ถ่ายรูปกันเพลินเลย



เที่ยงครึ่ง หลังจากทานมื้อเที่ยงกันเรียบร้อย  ได้เวลาเดินทางกันต่อไปยังฝั่ง West Coast

เจอฝูงวัวข้างทาง    ขนปุยเชียว  มันคือวัวหน้าขาวครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
http://www.west-coast.co.nz/


มีทั้งวัวดำ วัวน้ำตาล แต่หน้าขาว ทั้งนั้น

พอมันเห็นรถผ่าน มันก็หันมามองกล้องอย่างพร้อมเพรียง ฮ่าฮ่าฮ่า

รู้จักมุมกล้องดีกว่าพวกแกะอีก



ผ่าน One Lane Bridge อีกครั้ง แต่คราวนี้ ใช้ร่วมกับ รถไฟด้วย

โอ้วว น่ากลัว ถ้ารถไฟมาจะทำยังไงเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า  ต้องคอยดูรถไฟกันเองด้วยนะครับ

แต่ว่า ตั้งแต่ขับรถมา ก็ยังไม่เคยเจอรถไฟวิ่งเลยครับ 



หลังจากเราเลี้ยวขวาผ่าน Kumura Junction มาได้ สักหน่อย ก็จะเห็นทะเล และเริ่มเข้าสู่ ฝั่ง West Coast แล้วครับ

พื้นที่ฝั่ง West Coast มีความยาวกว่า 600 km อยู่ตรงกลางระหว่าง Southern Alps กับ Tasman Sea

และ เริ่มเข้าสู่ เมือง Greymouth เมืองที่มีประวัติอันยาวนาน  เดิมเคยเป็นเหมืองแร่ทองคำ ปัจจุบัน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของฝั่ง West Coast



หันไปมองด้านซ้ายบ้าง คลื่นแรงทีเดียว  สังเกตได้จาก ไอน้ำ จากคลื่น ที่ซัดเข้าฝั่ง

ส่วนหาดทรายทาง West Coast จะออกสีเทาดำๆ ครับ

น้ำก็ไม่ได้ใสเหมือนบ้านเรา  แต่วิว เป็นเวิ้งๆ ก็ สวยดีนะครับ 



 มีจุดให้ชมวิวเป็นระยะๆ ต้องคอยสังเกตดูนะครับ 


อีกมูมหนึ่ง รูปนี้กลับมาถ่ายซ่อมตอนขากลับ


ขับตามทางมาเรื่อยๆ เราก็ถึง Punakaiki  บริเวณนี้จะมีทั้ง I-site, Cafe และห้องน้ำ

เราก็มาจอดรถด้านซ้าย คนเยอะเหมือนกันแฮะ ยิ่งถ้ามีทัวร์จีนลงนี่ ไม่ต้องพูดถึง

รีบๆ เดินนำหน้า ก่อนที่พวกเค้าจะมาแอ๊คชั่นแย่งเราเลย ฮ่าฮ่าฮ่า
http://www.punakaiki.co.nz/
 

แผนผังทางเดิน ก่อนเช้าชม  ถ้าวนครบรอบ ก็ ประมาณ 20นาที

ถ้าถ่ายรูปด้วย ก็คงจะใช้เวลามากกว่านั้นแน่นอน



 ดอกไม้ริมทางสวยๆ


จุดแรกที่แวะ


ลักษณะก็เหมือนเป็นหินปูนชั้นๆ ซ้อนกัน  ผ่านการกัดเซาะ มาเป็นเวลานาน
 

มาดูแล้วก็เฉยๆ นะครับ ได้แต่ถ่ายรูปเล่นกัน  แต่ริมทะเล ลมแรงเหมือนกัน นะ

รีบถ่ายรีบไป เพราะ อาเจ๊ อาซ้อ ทัวร์จีนกำลังตามมา



ตรงนี้เค้าเรียกอะไรหว่า  ...น่าจะ Blow Hole

เพราะมันไม่บอกว่าจุดไหน ไว้ดู Blow Hole  แต่ถึงยังไงก็คงไม่เห็นอยู่ดี

เพราะช่วงนี้คาดว่า น้ำ จะพุ่งสูงสุด ตอนเช้าๆกับช่วงค่ำๆ นะครับ 



แต่ละจุดมันก็คล้ายๆกันหมดเลย งง

วิวตอนเดินข้ามสะพาน

 

สะพานที่ว่าครับ

เส้นทางเดินก็จะขึ้นๆลงๆ ลาดๆ ตามสภาพพื้นที่ครับ ไม่เหนื่อยหรอก 



ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่นี่ ครับhttp://www.pancake-rocks.co.nz/pancake.html
 

Putai  


บริเวณนี้เป็นจุดสุดของ loop แล้วครับ  แล้วก็จะวนอ้อมกลับอีกทาง  


Surge Pool  

คล้ายๆ หลุมตะกี้เลย  



ลองจินตนาการดูซิครับ ว่าเห็นเป็นรูปอะไร


เห็นเหมือนที่ป้ายบอกมั้ยครับ   จินตนาการล้ำเลิศ จริงๆ


นั่นเป็น loop  ที่เราเพิ่งวนมา 





Coastal Edge


ดูกันชัดๆ


ออกจาก Pancake Rock  เราก็ออกเดินทางกลับมาเส้นทางเดิม

Highway 6 เพื่อมุ่งหนัาไปยังเมือง  Hokitika ที่พักคืนนี้ของเรา

จากรูปจะเห็นเวิ้งชายหาด เว้า ตามแนวเทือกเขา  และละอองน้ำจากคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งตลอดเวลา   วิวสวยทีเดียว 



ขับมาได้ไม่นานก็เข้าสู่เมือง Greymouth มีร้านค้า ห้าง ฟาสต์ฟู้ดมากมาย

จริงๆที่นี่มีที่สถานที่ท่องเที่ยวคือ Shantytown  แต่เราไม่ได้แวะครับ
http://www.shantytown.co.nz/


ตอนนี้ก็ 16.00 แล้วเราแวะเติมน้ำมันกันที่นี่ และแวะ shopping ที่ห้าง  New World

เพื่อซื้อเนื้อ ไข่ ผัก กลับไปทำอาหารทานกันเย็นนี้  จากตอนแรกกะจะไป shop ที่ Hokitika



นี่ไง New World  ก็คล้ายๆ บิ๊กซี โลตัสบ้านเราแหละครับ

อยู่ติดกับปั้มน้ำมัน Mobil เลย ครับ เข้าห้างนี้ห้างเดียวตลอดทริปเลย 55555

ที่ห้างนี้  ถุงพลาสติคใส่ของเค้าไม่คิดตังค์เพิ่ม  แต่ห้างอื่น รู้สึกจะคิดนะครับ 



แอ๊ปเปิ้ล โลละประมาณ 50-60 บาท แพงเปล่าหว่า


พริกหยวก โลละเกือบ 3 เหรียญได้ครับ ถ้าจำไม่ผิด

กะจะซื้อแค่ ลูก 2 ลูก เลยไม่กล้าซื้อ   เห็นใครบอกว่าอร่อยด้วย



นม เนย โยเกิร์ต แพงกว่าบ้านเราเกือบเท่านึง 


มุ่งหน้าต่อไป บนเส้นทาง State Highway หมายเลข 6

ระยะทางจาก Greymouth ไป Hokitika ประมาณ 40 กิโลเมตร

ที่นี่คนขับรถ Ford เยอะมากกก 



จากเส้นทางหมายเลข 6 เมื่อเริ่มเข้าสู่ตัวเมือง ที่พักของเราจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ   (ที่เป็นรูปดาว)

แต่เนื่องจากเราตั้ง GPS ผิดเป็นที่อยู่ของ New World, Hokitika ทำให้ขับเลยไป 






ถึงแล้วเมือง Hokitika สัญลักษณ์ของเมืองนี้ หอนาฬิกา

ตอนแรกจะเข้าที่พักก่อน แต่กด Gps ผิดมาโผล่ที่  New World, Hokitika



พอจอดรถจะไปลงไปถ่ายรูปหอนาฬิกา ฝนก็เริ่มตกซะแล้ว เลยไม่ได้ไปเดินดูร้านค้าแถวนี้เลย

เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องหยกหรือหินสีเขียว (Green Stone) ซึ่งในสมัยโบราณเป็นสิ่งที่ชาวเมารีนำมาทำเครื่องประดับและอาวุธ

ใครอยากหาอาหารรองท้องง่ายๆ มีร้าน  Fish'n Chips อยู่ข้างๆ หอนาฬิกาครับ

 

ถึงแล้ว Shining Star Beachfront Accommodation http://www.accommodationwestcoast.co.nz/

ปล.ขอบคุณภาพจากเวบด้วยครับ  



เช็คอินกันก่อนครับ  

เราจองกับเวบโดยตรง  และ กรอกหมายเลขบัตรเครดิตไป

แต่ยังไม่ตัดบัตรทันที  ตอนไปเช็คอิน ถึงไปชำระเงินทั้งหมดครับ  



ฝั่งตรงข้าม Reception เลี้ยงตัว Alpaca ด้วย

หน้าตาน่ารักเชียว  



กำลังกินหญ้ากันอย่างเมามัน  


กินเสร็จ ก็ เผละ... 


เช็คอินเสร็จก็ขับรถตรงไปเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวขวาอีกที ก็จะถึงที่พักเรา

จองมาเป็นแบบ Cabins อยู่บริเวณเดียวกัน แบบนี้มีประมาณ  8 ห้อง ครับ

แบบนี้จะไม่ติดทะเล เห็นวิวทะเลลิบๆ

ปล.ขอบคุณภาพจากเวบด้วยครับ 



วิวหน้าห้องพัก  เค้ากั้นรั้วตาข่ายไว้เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่

สงสัยเลี้ยงเอาไว้ดูเล่น เพื่อความสวยงามมากกว่า

 





แพะ ก็มี แต่อยู่ฝั่งด้านในสุดเลย


สงสัยมันจะคัน ถูใหญ่เลย



มาดูในห้องกันบ้าง หลังนี้ แบ่งเป็น 2 ห้องพัก

ด้านในตกแต่งคล้ายๆกัน  Heater เครื่องเดียวกับ แอร์ ครับ



เราจองแบบนอนห้องละ 3 คน เลยมีเตียงเสริม อีก 1 เตียง ตกราคา  100 nz$/ห้อง  

มีทีวี +เคเบิ้ล มีไม่กี่ช่องเองครับ ,ตู้เย็น  อ่างล้างจาน

 

ห้องน้ำอยู่ด้านในสุด เป็นแนวยาว  ตรงกลางห้องเป็นส่วนของอ่างล้างหน้า ที่เล็กมากๆ อีกแล้ว

ด้านขวาเป็นส่วนของ Shower มีน้ำร้อน-เย็น น้ำแรงมาก



ด้านซ้ายเป็นโถชำระ  ไม่มีสายชำระนะครับ   ที่พักที่อื่น ทั้งทริปก็ไม่มีที่ไหนมีเลย

ในห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัว ผืนใหญ่-เล็กให้  มี  heater ด้วย ลมร้อนแรงมาก ซักผ้า แล้วมาผึ่งในนี่ได้เลย



ด้านหลังห้องพัก เป็นสนามหญ้า เขียวๆ


ตอนแรกตกใจนิดนึง เพราะในห้องทำอาหารไม่ได้

คิดว่าซื้อของมาแล้วไม่ได้ทำ อดเลย  แต่ไปถามที่ reception เค้าบอกมีครัวรวม

โล่งอก ออกไปสำรวจครัวรวมกันบ้างดีกว่า เดินออกไปใกล้ๆเองอยู่ซ้ายมือครับ



ด้านซ้ายจะเป็นครัว  มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งหม้อ กะทะ จาน ชาม มีแค่ 2 เตานะครับ ต้องรีบๆ หน่อย 

ส่วนด้านขวาจะเป็นห้องนั่งเล่น ดูทีวี  มีโทรศัพท์อยู่ในครัวด้วยครับ มาใช้รหัสบัตร โทร ได้ที่นี่ 



ระหว่างรอ พี่ทำอาหารเย็น  ก็มาเดินถ่ายดอกไม้เล่น


ที่นี่ยังมีสนามเด็กเล่นด้วยครับ  กึ่งๆ Holiday Park เลย 




มาแอบดูเค้าทำไปถึงไหนแระ  อ่อ หุงข้าวกันอยู่  ต้มในหม้อด้วย

ใครไม่อยากเอาหม้อหุงข้าวมา ก็ต้องฝึกหุงข้าวแบบนี้มาก่อนนะครับ 



น่องไก่ทอด สำหรับวันพรุ่งนี้


ผ่านไปไวเหมือนโกหก อาหารมื้อเย็นพร้อมทานแล้ว เป็นอาหารง่ายๆ นะครับ  แต่อร่อยมากกกกกก

มีไข่เจียว  ไก่ผัดพริกไทยดำ  แกงจืดไข่น้ำ  ผัดกะหล่ำปลี   แนะนำให้เอาผงปรุงสำเร็จที่เป็นซองๆ มา สะดวกมากครับ

ลืมบอกไปกะหล่ำปลีหัวยักษ์ที่ซื้อมาจาก New World นี่ทำกินได้จนถึงวันสุดท้ายเลย



อิ่มแล้วไปเดินเล่นริมทะเลกัน  หาดที่นี่อย่างที่บอก ทรายสีเทาดำ

ตามชายหาดก็มีพวกขอนไม้ เต็มไปหมด 



คลื่นแรงมากๆ เวลานอนตอนกลางคืน หลับสบายกันเลย นอนฟังเสียงคลื่น ไปด้วย


เพราะนิวซีแลนด์จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนประเทศอื่นในโลกรึเปล่า

ทำให้ ท้องฟ้าที่นี่สวยมาก 



แสงสุดท้ายจะหมดแล้ว 


รุ่งขึ้นตื่นแต่เช้า มาถ่ายรุป

นี่ไงครับ บ้านที่เรานอน 



ข้างๆห้องพัก ตอนนี้เวลาประมาณ 06.30 น. ยังมืดๆอยู่เลย


ทางด้านซ้ายห้องพัก เป็นที่จอดของรถนอน

เมื่อคืนรถยังไม่เห็นรถจอดเยอะขนาดนี้เลย 



รูปสุดท้าย แล้วครับ    กับวิวหน้าห้องพัก

ครั้งหน้าเราจะไป Glacier กันครับ ดูซิ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น