วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

OLOS in ประจวบคีรีขันธ์ ... " หลบหนีความวุ่นวาย มาพักผ่อนอย่างมีดีไซน์ ที่ TRI • SHAWA Resort, ริมหาดคลองวาฬ " ...

สวัสดีครับ อมยิ้ม01

เข้าสู่เดือนเมษายนกันแล้ว เดือนที่ขึ้นชื่อว่าอากาศร้อนสุดๆ เดือนนึงของเมืองไทย

ท่ามกลางอากาศร้อนๆแบบนี้ หลายคนคงอยากไปทะเล ไปรับลมทะเลกันเย็นๆ กันใช่ไหม

งั้นมาเที่ยวพร้อมกันเลยครับ  วันนี้ผมจะพาไปพักผ่อนสบายๆ กันแถบทะเลประจวบ ริมหาดคลองวาฬ

ลองมาชมกันดีกว่าว่าที่ ตรีชวา รีสอร์ท แห่งนี้ น่าพักแค่ไหน .. ตามมากันเลย

 

การเดินทาง

จากกรุงเทพ ใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม หรือทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านหัวหิน ปราณบุรี  และกุยบุรี เรื่อยมา จนมาถึงแยกคลองวาฬ-นาทอง(ซึ่งมีป้ายสถานีตำรวจคลองวาฬ ที่มีรูปปั้นโลมาอยู่บนป้าย )ให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นขับตรงไปเรื่อยๆ จนข้ามทางรถไฟ ให้เลี้ยวขวา  ขับมาตามทาง  ให้สังเกตทางขวามือเมื่อถึงสถานีรถไฟหนองหิน ให้เลี้ยวซ้าย  และขับตรงมาเรื่อยๆ ตามทางจนเจอแยกรูปตัว V ให้เลี้ยวขวาที่ซอยแรกทันที ขับจนสุดซอย จะเจอถนนฝั่งเลียบหาด ให้เลี้ยวขวา  เพียงไม่ถึง 50 เมตร ก็จะเห็นตรีชวารีสอร์ท อยู่ทางซ้ายมือ
  
 

ป้ายสถานีตำรวจคลองวาฬ


สถานีรถไฟหนองหิน


หลังจากใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพกว่า 5 ชั่วโมง ก็ถึง ตรีชวา รีสอร์ท กันแล้ว

ตรีชวารีสอร์ท เป็นรีสอร์ทขนาดกลาง ตั้งอยู่ที่หาดคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ด้านหน้าติดถนนเป็นอาคารชั้นเดียว  ด้านหลังติดกับหาดคลองวาฬและท่าเทียบเรือ

มีที่จอดรถอยู่ด้านหน้ารีสอร์ท ประมาณ 8 คัน แต่สามารถจอดริมถนนฝั่งตรงข้ามได้



เราเดินทางมาถึงตรีชวา ราวๆ บ่าย 2 ก็จัดแจงเช็คอินเข้าห้องพัก ที่ล็อบบี้ด้านหน้ากันก่อน

พนักงานให้กรอกข้อมูล  พร้อมเรียกบัตรประชาชน และ บัตรเครดิต มาประกอบการเช็คอิน

และเนื่องจากเรามากัน 3 คน เลยต้องชำระเตียงเสริมเพิ่มอีก คืนละ 880 บาท


ระหว่างการเช็คอิน ก็ได้ Welcome Drink เป็นน้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ หอมชื่นใจ
  

หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เราก็จะได้คูปองอาหารเช้า ในแต่ละวัน และพนักงานจะให้เราหมุนเครื่องเล่น ชิงรางวัล ซึ่งเราได้เป็นคูปองส่วนลดสำหรับทานอาหารที่นี่


บริเวณล็อบบี้ยังมีเอกสาร รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในละแวกใกล้เคียงแจกอีกด้วย ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายแห่ง ใช้เวลาสบายๆ 1-2 วันก็น่าจะเที่ยวได้ครบหมด





จากล็อบบี้เข้าไปด้านในก็จะเป็นอาคารที่พัก ตั้งเรียงรายทั้งสองฝั่ง

ฝั่งซ้ายเป็นอาคารชั้นเดียว เป็นที่ตั้งของห้องพักแบบ Garden Villa ขนาด 70 ตร.ม.จำนวน 3 ห้อง ภายในห้องพักถูกแบ่งเป็นสัดส่วน  ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น แพนทรีขนาดเล็ก ห้องน้ำขนาดใหญ่  มีอ่างอาบน้ำที่สามารถมองเห็นวิวสวนได้จากภายในห้องพัก เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลาง สามารถพักได้สูงสุด 4 ท่าน


ฝั่งขวาเป็นอาคารสามชั้น ชั้นล่างเป็นห้องพักแบบ Superior Grand Terrace ขนาด 35 ตร.ม. จำนวน 12 ห้อง ชั้นบนเป็นห้องพักแบบ Superior High View ขนาด  35 ตร.ม.จำนวน 10 ห้อง และ ห้องพักแบบ Pool Suit ขนาด 55 ตร.ม.จำนวน 2 ห้อง ส่วนชั้นบนสุดเป็นห้องประชุม




บริเวณตรงกลางเป็นสวนขนาดย่อม ประดับตกแต่งไปด้วยต้นปาล์ม และไม้ดอกไม้ประดับมากมาย บางมุมจะเป็นสวนแนวตั้ง ซึ่งถูกออกแบบโดยอาจารย์เอื้อมพร วีสมหมาย (ถ้าใครเคยอ่านบ้านและสวน น่าจะรู้จักเป็นอย่างดีเพราะท่านเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการจัดสวนของเมืองไทยคนหนึ่งก็ว่าได้) 


บรรยากาศโดยรวมของรีสอร์ทแห่งนี้ ตกแต่ง สไตล์ Tropical Modern

เน้นสีน้ำตาลอมแดงของระแนงไม้มะค่า  และสีเขียวของต้นไม้

สำหรับการออกแบบอาคารจะใช้การตีระแนงไม้แบบต่างๆเป็นหลัก ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากบ้านเรือนในแถบนี้




สำหรับห้องพักของเราเป็นห้องแบบ Pool Suit ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของอาคารฝั่งขวา

เราได้ห้องหมายเลข 402 ซึ่งอยู่ตรงมุมตึก กลางรีสอร์ท  

เมื่อก้าวเข้ามาภายในห้อง ด้านขวามือจะเป็นส่วนของห้องน้ำ มีเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าสีขาวอยู่ด้านนอก ฝั่งตรงข้ามเป็นตู้เสื้อผ้า ภายในมีมินิบาร์  มีเสื้อคลุม ตู้เซฟ  ร่ม สลิปเปอร์  ที่ชอบคือมีราวพาดผ้าให้ด้วย  






สำหรับน้ำดื่มใช้แบรนด์ Trishawa ของรีสอร์ทเอง มีให้ครบตามจำนวนแขกที่เข้าพัก 

ส่วนขนมและน้ำประเภทอื่นๆ คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มต่างหาก 



มาดูฝั่งเคาน์เตอร์กันบ้าง มีผ้าขนหนูผืนเล็กให้

พร้อม Amenities อย่าง  สบู่ แชมพู ครีมนวด เจลอาบน้ำ แปรงสีฟัน  คอตตอนบัด ฯลฯ

ซึ่งพวกแชมพู ครีมนวด พวกนี้ น้อยครั้งที่ใช้ของรีสอร์ทแล้วรู้สึกดี

ส่วนใหญ่ใช้แล้วผมจะแห้งๆ ไม่นุ่ม ทางที่ดีเตรียมมาเองจะดีกว่า





สำหรับห้องน้ำแยกสัดส่วนจากในห้องด้วยประตูเลื่อน (ไม่มีที่ล็อค) ภายในกว้างทีเดียว
ด้านในเป็นทางเดินโล่ง แสงจากหลังคาสามารถส่องลงมาได้ ทำให้ห้องไม่อับ  มีกระจกบานยาวแขวนอยู่บนผนัง ด้านขวามือเป็นส่วนอาบน้ำ และ ห้องสุขา  แบ่งสัดส่วนกันด้วยกระจกขุ่นบานใหญ่
 



ในส่วนของห้องสุขา มีสายฉีดชำระให้ด้วย


สำหรับส่วนอาบน้ำ มีทั้ง เรนชาวเวอร์ และแฮนด์ชาวเวอร์ ให้เลือกใช้ตามใจชอบ

และถึงแม้ห้องจะอยู่ชั้นสอง  น้ำก็ไหลแรง อาบสบายหายห่วง 


ตรงเข้ามาด้านในสุดเป็นส่วนของห้องนอน ตกแต่งเรียบง่าย  ผนังสีขาว ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาล  มีกรอบรูปประดับอยู่ตามผนัง





มีอาร์มแชร์ สำหรับนอนเหยียดขา พักผ่อนได้สบายๆ 

และเตียงเสริมที่จ่ายเพิ่มอีกคืนละ 880 บาท


ภายในห้องเป็นกระจกโดยรอบ มีม่านโปร่ง ช่วยกรองแสงให้เบาลง

ยกเว้นช่องกระจกบริเวณหน้าประตูทางเข้าห้อง ที่ไม่มีม่านปิด

ทำให้ความเป็นส่วนตัวน้อยลง เพราะคนอื่นสามารถมองเข้ามาภายในห้องได้



ปลายเตียงมี LCD TV 32" เป็นช่องของ PSI มีช่องรายการหลายช่องให้เลือกชมอย่างจุใจ

นอกจากนั้นด้านล่างก็ยังมีเครื่องเล่น DVD ซึ่งเราสามารถยืมแผ่นหนังได้ที่ ล็อบบี้ ด้านล่าง


 

ที่ระเบียงด้านนอกมีสระว่ายน้ำขนาดเล็ก ซึ่งเอาไว้แช่น้ำเล่น น่าจะเหมาะกว่า

จากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวของสระว่ายน้ำใหญ่ที่ด้านล่าง และวิวหาดคลองวาฬเบื้องหน้าได้

แต่ควรระวัง อย่าขึ้นไปนั่งหรือยืน บนขอบสระ เพราะบนนั้นไม่มีกระจกใสกั้น

และยังเชื่อมไปห้องข้างๆ ได้  หากมีเด็กเล็ก ควรระมัดระวังอาจเผลอตกลงไปได้ 





สำรวจห้องพักกันเรียบร้อย ลงมาชมส่วนอื่นๆ ในรีสอร์ทกันต่อเลย

ลงบันไดมา เราก็จะพบกับห้องอาหารมองดูเลย์ "Mont-Du-Lay"

ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักแห่งเดียวของที่นี่  ตั้งอยู่ริมหาดคลองวาฬ ภายในตกแต่งด้วยระแนงไม้โดยรอบ ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นสวนแนวตั้งอันสวยงาม ที่อยู่ด้านหลังโซฟา 



 

จากห้องอาหาร อีกฝั่งจะเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาดไม่ใหญ่มาก มีมุมให้นั่งพักผ่อนริมสระกันหลายจุด





นอกจากนั้นฝั่งติดหาด ยังมีซุ้มไม้ ให้ได้นั่ง นอนเล่น กันเพลินๆอีกด้วย




บริเวณทางลงหาด ก็มีเก้าอี้ไม้ริมหาดเช่นกัน  ใช้นอนเล่นรับลมทะเล หรือจะรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ก็ดีไม่น้อย  ซึ่งหน้าหาดคลองวาฬนี้ตั้งอยู่ติดกับท่าเทียบเรือ  หาดทรายและทะเลบริเวณนี้ไม่สามารถลงเล่นได้ เพราะมีขยะอยู่เกลือนเต็มหาด แต่ถึงแม้วิวอาจจะไม่สวยมากมาย ก็ได้บรรยากาศเงียบสงบมาทดแทน 





มาดูบรรยากาศสวยๆ ช่วงยามเย็น ที่ห้อง Pool Suit กันต่อ





อีกมุมในรีสอร์ท ที่ห้องอาหารมองดูเลย์ 
 

 

 


บริเวณสระว่ายน้ำ ช่วงเย็นๆ อากาศดีทีเดียวครับ 







 
 



หากมาพักที่นี่ อย่าลืมมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมหาด  จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวประมงที่นำเรือมาเทียบท่าแถบนี้ด้วย และก็ทำให้เข้าใจว่าขยะพวกถุงพลาสติคมาจากเรือประมงในบริเวณนี้นี่เอง 



สำหรับอาหารเช้าที่นี่จะบริการ 2 ช่วง คือ

เวลา 07.00-10.00 น. เป็นแบบ Buffet

เวลา 10.00-14.00 น. เป็นแบบ A la Carte

ไลน์อาหารจะมีพวกข้าวผัด ผัดซีอิ้ว ข้าวต้ม แฮม ไส้กรอก แซนวิช ขนมปัง โยเกิร์ต ผลไม้ และเครื่องดื่มต่างๆ
 







ข้าวต้มหมูสับ อร่อยใช้ได้เลย


ขนมปัง กับแยม 


ชิคเก้นซอสเซจโรล
 

 
อเมริกันวาฟเฟิล




อาหารในไลน์อื่นๆ 



เช้าวันถัดมา เราก็มาชมพระอาทิตย์ขึ้นกันเหมือนเคย
 



เช้าวันนี้เป็นเมนูแบบ A la carte ตามรายการด้านล่างนี้ สามารถสั่งกี่จานก็ได้ ตามใจชอบ

เมนูส่วนใหญ่ก็เหมือนแบบ Buffet เมื่อวาน

เราสั่งอาหารจานเดียว อย่าง ข้าวต้ม ผัดซีอิ้วปลาหมึก ข้าวผัดไข่ อร่อยทีเดียว

ชอบผัดซีอิ้วเป็นพิเศษ ใครมาอย่าลืมลองสั่งทาน 




ส่วนอาหารฝรั่ง เราสั่ง สลัด ไข่กวน เบคอน ไส้กรอก และ  ครอสตินี่ เบคอน

โดยรวมถือว่าอาหารเช้ามีคุณภาพทีเดียว และยังสามารถทานได้ถึงช่วงบ่าย หากใครตื่นสาย
 



ขอจบรีวิวไว้ที่ภาพนี้ครับ โอกาสหน้าจะพาไปชมทริปเต็มๆ ที่ประจวบกันครับ

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาชมนะครับ  




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น