วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

oLos in U.S.A.2015 ..." ขับรถเที่ยว 8 อุทยานแห่งชาติในเวสท์อเมริกา เพลิดเพลินไปกับสีสันของดอกไม้ป่าในฤดูร้อน " ...=3=

ตอนที่แล้ว

วันที่ 15



เช้าวันนี้ เราตื่นตั้งแต่ตีห้า ตั้งใจไปถ่ายภาพริมทะเลสาบ อากาศเย็นทีเดียว
มองไปทางท่าเรือ  มีคนนั่งชมวิวอยู่ตรงนั้นด้วย
จากจุดนี้จะมองเห็น ยอดเขา Grand Teton อยู่ทางด้านซ้ายสุด



จากท่าเรือมองขึ้นมายังที่พัก ดอกไม้เป็นทุ่งอย่างที่เห็น แต่ยุงก็เยอะเช่นเดียวกัน
 หันไปอีกด้าน  พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว



ประมาณหกโมงเช้า แสงอาทิตย์ก็ฉาบเทือกเขาทั้งแนวเป็นสีแดง










หลังจากเช็คเอ้าท์เรียบร้อย ได้ Hot Chocolate ร้อนๆ จากล็อบบี้ มาดื่มระหว่างทาง
จุดชมวิวส่วนใหญ่จะเห็นแนวเทือกเขา Teton Range อันเดียวกัน
อาจจะเลือกแวะชมแค่เพียงบางจุดก็ได้



จุดแรกที่แวะ คือ Potholes Turnout



Mt.Moran Turnout



Cathedral group Turnout

 
จากนั้นแวะไปที่ String Lake Trailhead




และมาชมวิวที่ Jenny Lake Overlook



ไม่ไกลกันมี Jenny Lake Trail  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางไกลๆ
เราลงไปชมบรรยากาศ แล้วก็กลับ











จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยัง Mormon Row
แต่ก่อนถึงเจอทุ่งดอกไม้ ข้างทาง สวยมากกกกกก พุ่งรถจากรถไปด้วยความรวดเร็ว
นักท่องเที่ยวที่ขับรถผ่านไปมา เป็นต้องแวะจอดลงมาถ่ายรูปกันทุกคัน






ถ่ายกันจนหนำใจ ตรงไปที่ Mormon Row กันต่อ แปปเดียวก็ถึงแล้ว
เราตั้งใจมาถ่ายรูป  Moulton Barn โรงนาเก่าอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่
รวมถึงบ้านหลังอื่นๆ ในบริเวณนี้ ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี



Moulton Barn




ออกจาก Moulton Barn ขับตรงไปทางเมือง Salt Lake City รัฐ Utah
ระยะทางกว่า 300 ไมล์ ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมง  ปลายทางอยู่ที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Sandy
ที่พักของเราในคืนนี้ คือ Hyatt House Salt Lake City/Sandy



เราจองห้องพักแบบ Two Bedroom Trio Suite
ภายในห้อง จากประตูทางเข้า มี Sofa Sleeper ส่วนครัวและโต๊ะทานอาหารอยู่ด้านในสุด
ห้องนี้มีสองห้องนอน ทางขวาหนึ่งห้อง เตียงนอน  2 เตียงเป็นแบบควีนไซส์ พร้อมห้องน้ำส่วนตัว








ส่วนอีกห้องอยู่ทางซ้ายมือ  เตียงนอนห้องนี้เป็นแบบคิงไซส์ พร้อมห้องน้ำส่วนตัว
โดยห้องน้ำห้องนี้จะใหญ่และกว้างมาก  เนื่องจากออกแบบมาสำหรับผู้สูงอายุ
สำหรับที่นี่ เป็นห้องพักที่ชอบที่สุดในทริปนี้ เนื่องจากคุ้มมากๆ มีถึงสองห้องนอน สองห้องน้ำ
พร้อมครัว และโซฟา พร้อมอาหารเช้า ในราคาแค่ $163 เท่านั้น!
แต่ก็มีข้อตินิดนึง  ตรงที่มาเช็คอินแล้ว ยังไม่ได้ห้องทันที ต้องรอแปบนึง








วันที่ 16



เช้าวันนี้ เราอยู่ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม Hyatt House
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราอยู่ทานอาหารเช้าโรงแรม
เพราะวันอื่นๆจะทำทานเอง เพราะเราต้องรีบออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่

อาหารเช้าที่นี่หลากหลาย คุณภาพดีสมแบรนด์ Hyatt





หลังจากอิ่มท้องก็ออกเดินทางกันต่อ วันนี้เราจะเดินทางข้ามรัฐ ไปที่เมืองลาสเวกัส
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง นั่งรถนานจนเมื่อย
แต่ก็มี Rest Area ระหว่างทาง ไว้ให้แวะพักยืดเส้นยืดสาย แวะเข้าห้องน้ำ




 ในที่สุดก็ถึงที่พักของเรา  Jockey Club
ซึ่งเมื่อปีก่อนเราก็พักที่นี่ ทำเลดี ติดกับโรงแรม Bellagio
และทางเข้าที่พักก็อยู่ในซอยเดียวกับ The Cosmopolitan



เราจองห้องพักแบบ Two bedroom Suite เมื่อเข้าไปภายในจะเป็นส่วนของครัว และ โต๊ะทานอาหาร
ซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวแทบทุกอย่าง  ด้านในสุดเป็นชุดโซฟาตัวยาว ซึ่งสามารถใช้เป็นที่นอนได้อีกสบายๆ







ถัดเข้าไปด้านในซ้ายมือมีห้องน้ำ 1 ห้อง และห้องนอนอีกสองห้อง
ห้องแรกเป็นเตียงควีนไซส์ ส่วนห้องนอนอีกห้องมีขนาดใหญ่มาก
เป็นเตียงคิงไซส์ พร้อมโซฟาและห้องน้ำในตัว







ที่เลือกพักที่นี่เพราะอยู่ใจกลางบน Strip ติดกับ Bellagio เดินทางสะดวกสบาย
และที่สำคัญคือมีครัว ให้เราทำอาหารได้แบบนี้



เติมพลังแล้ว ออกไปเดินชมเมืองลาสเวกัสดีกว่า
เริ่มจากใกล้ๆ ที่ Bellagio โรงแรมสุดหรูกันก่อน
ภายในโรงแรม ทุกคนจะต้องสะดุดสายตากับประติมากรรมรูปดอกไม้จากแก้วอันสวยงาม
งานชิ้นนี้มีชื่อว่า Fiori di Como สร้างโดย Dale Chihuly ซึ่งมีผลงานในมิวเซียมชื่อดังทั่วโลก













นอกจากนั้นภายในยังมีสวนสวย Conservatory & Botanical Gardens
ที่ประดับตกแต่งด้วยไม้ดอก และ ต้นไม้ชนิดต่างๆ หมุนเวียนไปตามช่วงเวลา










ถ่ายรูปกันเรียบร้อย ก็ข้ามถนนไปทางโรงแรม Paris
แอบแวะเข้าดูคาสิโนตามโรงแรมต่างๆ
อยากจะลองเสี่ยงโชคเหมือนกัน แต่เล่นไม่เป็น
แถมยังเหม็นกลิ่นบุหรี่มาก จนต้องรีบเดินออก



เดินไปเรื่อยจนไปถึง  The Venetian
ตั้งใจมาชมที่นี่โดยเฉพาะ  ว่าจะสวยกว่าที่มาเก๊าหรือเปล่า
โดยรวมบรรยากาศใกล้เคียงกัน แต่ที่นี่เหมือนจะอลังการกว่าหน่อย






ออกจากเวเนเชี่ยน ข้ามฝั่งไปทาง Mirage ผ่านมาทาง Caesars Palace






และมารอชมการแสดงน้ำพุ ที่หน้า Bellagio ซึ่งประทับใจจากครั้งก่อนมาก
แต่ครั้งนี้รู้สึกเฉยๆ คงเป็นเพราะเคยชมแล้ว เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร




เดินได้ไม่นาน เราก็กลับโรงแรม
อากาศวันนี้ร้อนมากก  40กว่าองศา คนเดินก็เยอะ ดูวุ่นวายไปหมด
สรุปเราคงไม่ค่อยชอบเดินเที่ยวในเมืองแบบนี้สักเท่าไร
ขึ้นไปนอนพักผ่อน เตรียมตัวเดินทางต่อวันพรุ่งนี้ดีกว่า
ปิดท้ายด้วยแสงสียามค่ำคืนของลาสเวกัสบน Strip ละกัน






วันที่ 17



วันนี้ออกเดินทางกันแต่เช้าตามเคย เป้าหมายแรกอยู่ที่ Lake Mead
ซึ่งคราวก่อนขับผ่านตอนพระอาทิตย์ขึ้นพอดี คิดว่าคราวหน้าต้องลองไปดู
ที่นี่สามารถใช้บัตร Annual Pass ได้ พร้อมรับแผนที่มาด้วยเลย
หลังจากขับเข้ามาแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีอะไร
วิวก็ไม่ค่อยสวยเหมือนที่เราเห็นริมทางตอนขับรถผ่าน






จากนั้นตรงไปยัง Route66 ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงเศษ
แวะถ่ายรูปกับป้ายสวยๆ และรถโบราณต่างๆ




ก่อนที่จะขับตรงไปยัง Grand Canyon National Park
เสียค่าเข้าอุทยาน $30 แต่เรามีบัตร Annual Pass แล้ว ไม่ต้องจ่ายอีก




จากนั้นมุ่งหน้าที่ไป Yavapai Point ซึ่งคราวก่อนเราไม่ได้มา
แวะถ่ายรูปกันแปบนึง ก่อนรีบไปยังจุดต่อไป เพราะอากาศค่อนข้างร้อน








จากนั้นเราก็ขับรถไปจอดใกล้ๆ  Village Route Transfer
เพื่อขึ้น Shuttle Bus ไปชมแกรนด์แคนยอนทาง Hermit Rest
เราแวะลงแค่บางจุด  เพราะวิวทิวทัศน์ก็คล้ายๆกัน
ที่เหมือนเดิมคือ ความยิ่งใหญ่ของแเกรนด์แคนยอน





หลังจากนั่งจนครบรอบแล้ว เข้าที่พักกันเลย
เราพักที่ Maswik Lodge ซึ่งอยู่ในแกรนด์แคนยอน
เราจองห้องแบบ Standard 2 Queen South ซึ่งเป็นห้องพัดลม
ถ้าเป็นห้องแอร์ ราคาจะสูงขึ้นอีกเท่านึงเลย  ฉะนั้นเลือกห้องพัดลมดีกว่า

ภายในห้องพักก็ธรรมดาทั่วไป  ขนาดเล็ก พอดีกับเตียงสองเตียง
ด้านข้างเป็นห้องน้ำ ไม่มี  wifi ในห้องพัก ต้องไปนั่งเล่นที่ล็อบบี้








วันที่ 18



เช้านี้ตื่นขึ้นมา เจอฝูงกวางที่หน้าห้องพัก เดินข้ามถนนกันเป็นแถว
มันคงมาหาอาหารกินตอนเช้า นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย



เราออกจากที่พักประมาณหกโมงเช้า มุ่งหน้ากลับ Irvine
ระหว่างทางเรา แวะถ่ายรูปกับโลโก้ Route 66 ที่อยู่บนถนน
ซึ่งกว่าจะมาถึงก็เกือบๆ สิบเอ็ดโมงเช้า วิ่งลงไปถ่ายด้วยความรวดเร็ว
เพราะอากาศร้อนสุดๆ 40 กว่าองศา ผิวแทบจะไหม้เกรียม



ถัดไปอีกไม่ไกล จะมีบ่อเกลือ Salt Pond
เป็นบ่อสีฟ้าอมเขียว ซึ่งเป็นบ่อของบริษัทที่ทำเหมืองกันในบริเวณนั้น


กว่าจะถึง Irvine ก็ช่วงเย็นแล้ว
หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางท่องเที่ยวมาหลายวัน
เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ซื้อของมาทำอาหารทานกัน ให้อิ่มไปเลย



วันที่ 19 และ 20

จริงๆแล้วเรามีแผนจะไป San Diego 1 วัน
แต่แล้วแผนก็ล่มเหมือนปีก่อน เพราะอยากไปช็อปปิ้งกันมากกว่า
สองวันที่เหลือเราจึงออกไปช็อปปิ้งซื้อของกันซะมากกว่า
รวมถึงสรรหาของ มาทำอาหารทานกัน รู้สึกว่าเรื่องกินจะเรื่องใหญ่สุด 55






วันที่ 20

ได้เวลาโบกมืออำลาที่นี่แล้วครับ  เราออกจาก Irvine กันตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า
เนื่องจากไฟลท์เราออกตอน 09.40 มาถึงก่อนสักสามชั่วโมง เผื่อเวลาไว้ก่อน
เราเช็คอินออนไลน์มาแล้ว เข้าช่องโหลดกระเป๋า เร็วกว่าเยอะเลย ไม่ต้องไปต่อแถวยาวๆ
จากนั้นผ่านเครื่องสแกน เดินไปรอที่เกทกันเลย



เราบินไฟลท์ CX 897 จาก LAX-HKG ด้วยเครื่องโบอิ้ง 777-300ER





เช่นเคย แจกถั่ว และเครื่องดื่ม ก่อนเป็นอย่างแรก



จากนั้นก็เสิร์ฟอาหารมื้อกลางวัน
เมนูหลักคือ ข้าวไก่ผัดซอสใส่เห็ดหูหนู  Braised chicken with Wood ear mushroom and steamed jasmine rice
ส่วนชามเล็กๆ คือ สลัดกุ้ง  Marinated baby shrimp with quinoa salad


ส่วนมื้อเย็น เมนูหลักเป็นข้าวปลาผัดเต้าซี่ Fish with black bean sauce and steamed jasmine rice
เมนูนี้อร่อยมาก หอมสุดๆ



ส่วนอีกเมนูที่ให้เลือก คือ Pork and prune stew with mashed potatoes



หากทานไม่ลง หรือไม่อิ่ม ก็ขอนู้ดเดิ้ลคัพเพิ่มได้ตลอด
เห็นแบบนี้ อร่อยไม่แพ้บ้านเราเลย



ก่อนจะแวะต่อเครื่องที่ฮ่องกง ด้วยไฟลท์ CX 703  HKG-BKK
ไฟลท์นี้เป็นเครื่องโบอิ้ง 777-300 มีเสิร์ฟอาหารบนเครื่องอีกหนึ่งมื้อ
ก่อนที่จะเดินทางถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ






เป็นอันจบทริปเที่ยวอเมริกาฝั่งตะวันตกอย่างสมบูรณ์ครับ
ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริป 21 วัน รวมตั๋วเครื่องบินไปกลับ  ค่าที่พัก 14 คืน อาหารสด  annual pass  ค่าประกันเดินทาง
ค่าเดินทางไปกลับสนามบิน  ค่าน้ำมัน รวมแล้ว ตกคนละประมาณ 58,xxx- บาท (ไม่รวมค่าเช่ารถ) (คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 $ =34.5 บาท)

หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามชมมาตลอดนะครับ