วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

OLOS IN TURKEY : ตุรกี ดินแดนสองทวีป ทัวร์ 8 วัน 5 คืน บินตรง + บินภายใน

สวัสดีครับ

หายไปเกือบสองปี ไม่ได้รีวิวเลยครับ มัวแต่ยุ่งๆเรื่องบ้าน
พอมีเวลาว่าง เลยมองหาที่เที่ยวช่วงสงกรานต์หนีร้อนกันสักหน่อย
ซึ่งประเทศนั้นก็คือ ตุรกี นั่นเองครับ

ช่วงนี้จะเห็นว่ามีแพคเกจทัวร์ไปเที่ยวตุรกีเยอะมาก ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2หมื่นปลายๆ
แต่ละแพคเกจจะต่างกัน ในเรื่องของสายการบิน ทั้งบินตรง กับแวะเปลี่ยนเครื่อง

นอกจากนั้นยังต่างกันในเรื่องของการเดินทางภายในประเทศ
ถ้านั่งรถบัสตลอดการเดินทาง ก็จะใช้เวลาเที่ยวประมาณ 9-10 วัน
ได้แวะเที่ยวตามเมืองต่างๆ เยอะกว่าแพคเกจที่มีไฟลท์บินในประเทศ แถมราคาก็ถูกสุด
หากมีไฟลท์บินในประเทศด้วยก็จะประหยัดเวลาการเดินทาง แต่สถานที่เที่ยวก็จะน้อยลงตามไปด้วย แต่ราคาแพงกว่า

จริงๆ แพลนว่าจะไปเที่ยวตุรกี ตั้งแต่ ธันวาคม ปี 2559 ตอนนั้นจองทัวร์แล้ว ทัวร์ไม่ออกเดินทาง เพราะคนไม่เต็มกรุ๊ป
ประกอบกับช่วงนั้นมีเหตุการณ์ระเบิดด้วย ทำให้แพลนต้องพับไปก่อน
เสียดายก็แต่เงินที่แลกไว้ช่วงนั้น เรท 1 ลีรา ประมาณ 12 บาท แพงกว่าเท่าตัว ซึ่งเรทตอนนี้ประมาณ 6 บาท หยอกเย้า

เกริ่นมาเยอะแล้ว ไปเที่ยวกันเลยดีกว่าครับ

ปล. รีวิวนี้ข้อมูลอาจจะไม่ค่อยแน่น เพราะจขกท.ไม่ได้อินกับประวัติศาสตร์นะครับ




ทริปนี้เราออกเดินทางวันสงกรานต์พอดีเลยครับ 13 เมษายน 2562
ทัวร์นัดตอน 1 ทุ่ม มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่บ่าย 2
เผื่อเวลาไว้ช่วงเทศกาลเยอะหน่อย เพราะออกเดินทางจากต่างจังหวัด
เกิดรถติด หรือมีปัญหาอื่นๆ แล้วมาไม่ทันจะยุ่งครับ
ในสนามบินคนไม่เยอะอย่างที่คิด คงทยอยออกเดินทางไปเที่ยวก่อนหน้านี้กันแล้ว



ประมาณหกโมงเย็น เจ้าหน้าที่ของทัวร์ก็มาตั้งป้ายรออยู่ด้านหน้าละครับ
เช็ครายชื่อเรียบร้อย ได้รับแจกซองคนละชุด ผูกเชือกกระเป๋าเรียบร้อย
จากนั้นก็เช็คอินที่เคาน์เตอร์ เราบินสายการบิน Turkish Airline เที่ยวบิน TK69
เช็คอินที่ row U ครับ โหลดกระเป๋าได้ คนละ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 20 kg
เช็คอินเรียบร้อย ไปใช้สิทธิ์แลกของกิน และก็เดินไปรอที่เกท E9 เลยครับ






 เครื่องมาจอดรอแล้ว เป็นเครื่อง Airbus 330 ชื่อ Pamukkale ซะด้วย
จะบอกว่านั่งไม่สบายเลยครับ ที่นั่งวางขาแคบมาก บางเบาะก็ปรับไม่ได้อีก แต่ก็ต้องทนไปอีก 10 ชั่วโมง







ไฟลท์นี้มีแจก Amenity kit ด้วยนะครับ




ไม่นานก็เสิร์ฟอาหารมื้อแรกครับ เป็นข้าวผัดไข่  กับไก่ทอดราดซอส  รสชาติโอเคเลยครับ



ส่วนอีกมื้อ เสิร์ฟก่อนแลนดิ้ง เป็น Scrambled Egg เลี่ยนมากครับ กินไม่หมดด้วย



ใช้เวลาบินประมาณ 10 ชั่วโมงเศษ ก็ถึง Istanbul แล้วครับ
สนามบินแห่งนี้ชื่อว่า อิสตันบูล ซาบิฮา กุคแซง Sabiha Gökçen
ซึ่งเพิ่งเปิดใช้ประมาณอาทิตย์นึงก่อนสงกรานต์นี่เองครับ
ภายในตกแต่งอย่างหรูหรามากครับ เพดานสูงทุกพื้นที่ แอร์เย็นฉ่ำไม่เหมือนบ้านเรา55

**ที่นี่ตอนนี้เวลาตีห้าเศษ เวลาที่ตุรกีจะช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง อย่าลืมเปลี่ยนเวลานะครับ







ลงเครื่องแล้ว เราต้องบินต่อเครื่องภายในประเทศต่อครับ เดินกันขาลากจนสุดทางกว่าจะถึง




ผ่าน ตม. เรียบร้อย ก็เดินไปรอที่เกท G4 เลยครับ
เราจะบินไฟลท์ TK2312 ไปลงที่เมือง Izmir



ตอนนี้อากาศที่ istanbul เมฆเยอะ ครึ้ม และฝนตก
ไฟลท์เราดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าครับ



ไฟลท์นี้บินด้วย Boing 777-300ER  ที่นั่งแบบ 3-3
นั่งสบายกว่าไฟลท์ก่อนหน้าอีกครับ



จาก Istanbul ไป Izmir ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ครับ



อาหารว่างที่เสิร์ฟเป็นขนมปัง White cheese toast ข้างในมีแต่ชีสครับ ไม่อร่อยเลย




ใกล้ Landing ที่ Izmir แล้วครับ



สนามบินนี้มีชื่อว่า Adnan Menderes Havalimani / Airport  สนามบินค่อนข้างใหญ่นะครับ





จากนั้นก็มาขึ้นรถบัส พร้อมออกเดินทางกันเลยครับ
ไกด์จากไทยชื่อ คุณมิตร ครับ เก่งมากๆ



ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราจะแวะทานอาหารมื้อเที่ยงกันก่อนครับ
มื้อแรกก็เจออาหารพื้นเมืองตุรกีกันเลย มีแต่ผักครับ มีอยู่เมนูเดียวที่พอจะมีเนื้อไก่นิดนึง
ยังโชคดีที่ทางทัวร์ เตรียมพวกน้ำสลัด มายองเนส / น้ำจิ้มแจ่ว จากไทยมาด้วย
เลยพอมีรสชาติขึ้นมานิดหน่อย









ส่วนขนมปิดท้าย รสชาติคล้ายๆ ทองหยอด บ้านเรา แต่หวานกว่ามากๆครับ



ทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปที่แรกกันเลยครับ

เมืองโบราณ เอฟฟิซุส " City of Ephesus "



อดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน







ดอกไม้สวยๆ บริเวณด้านหน้าทางเข้า













น้องแมวตัวอ้วนน่ารักๆ













Temple of Hadrian วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน
สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่จักรพรรดิเฮเดรียน วิหารนี้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก





ส้วมในสมัยนั้น


จากนั้นเดินต่อตามทางไปยัง ห้องสมุดของเซลซุส

สังเกตว่านักท่องเที่ยวเยอะมากจริงๆครับ



Library of Celsus ห้องสมุดของเซลซุส
ถือเป็นสัญลักษณ์ของนครเอฟฟิซุส









และ Great Theatre สิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนครเอฟฟิซุส
สร้างในสมัยกรีกโบราณ โดยสกัดเข้าไปในไหล่เขาให้เป็นที่นั่ง สามารถจุคนได้ถึง 25,000 คน
ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น ภายหลังพวกโรมันมาปรับปรุงให้มีความยิ่งใหญ่มากขึ้น





หลังจากนั้นก็เดินออกมา จะมีร้านขายของที่ระลึก Museum Shop
ใครจะเข้าห้องน้ำก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกันเลยครับ




ส่วนทางด้านนอกก็มีร้านขายของเรียงรายตลอดทาง
ถ้าจะซื้อของที่ระลึก พวก magnet พวงกุญแจ ที่เกี่ยวกับเมืองนี้ ก็ต้องซื้อเลยนะครับ เพราะที่อื่นไม่มี



หน้าตารถบัสที่เรานั่งเที่ยวในแถบนี้  สังเกตว่าทุกคันจะสีขาวหมดเลยครับ
ใครมาทัวร์ก็ต้องดูป้าย หรือเลขทะเบียนให้ดี เพราะรถเหมือนกันหมด



จากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยัง เมืองปามุคคาเล่ Pamukkale



ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นสีขาวๆ บนภูเขาแล้วครับ
วันนี้ไกด์แจ้งว่า คงไม่ได้ขึ้นบอลลูนที่คัปปาโดเกีย เพราะกรุ๊ปเราได้สำรอง
แต่มีทางเลือกให้ขึ้นที่ปามุคคาเล่แทนในเช้าวันพรุ่งนี้ ราคา 210$
แต่เราก็ไม่คิดจะขึ้นที่ปามุคคาเล่ เพราะวิวยังไงก็ไม่สวยเท่าที่คัปปาโดเกีย

จริงๆก่อนเดินทางประมาณ 2 อาทิตย์ก็ลองหาทัวร์ขึ้นบอลลูนเองเหมือนกัน เพราะราคาจะถูกกว่าทางทัวร์จัดให้
คิดว่าอยากจะจองมาล่วงหน้าเอง แต่ก็กลัวทางทัวร์จะไม่อนุญาต
เพราะการจอง ต้องระบุโรงแรมที่พักที่รถจะมารับตอนเช้าไปขึ้นบอลลูนด้วย
แต่เท่าที่ถามดู ส่วนใหญ่ก็เต็มกันหมดแล้ว





เข้ามาด้านหน้าจะมีร้านขายของ รวมถึงไอติมด้วยครับ





ได้ตั๋วแล้ว เตรียมเดินเข้าไปข้างในกันเลยครับ





จากทางเข้าต้องเดินตามทางประมาณ 200-300 เมตร ถึงจะถึงปราสาทปุยฝ้าย



บรรยากาศสองข้างระหว่างทางเดิน







ปามุคคาเล่ ในภาษาตุรกี หมายถึง "ปราสาทปุยฝ้าย "
Pamuk หมายถึง ปุยฝ้าย  ส่วนคำว่า Kale หมายถึง ปราสาท
เป็นน้ำตกหินปูนสีขาว ที่เกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินที่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส
ซึ่งเป็นแร่ทึ่มีหินปูน (แคลเซียมออกไซด์) ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ไหลลงมาจากภูเขา คาลดากี ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือ
เอ่อล้นขึ้นมาเหนือผิวดิน และทำปฎิกิริยาจับตัวแข็ง เกาะกันเป็นริ้ว เป็นแอ่งชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ
จนเกิดเป็นความสวยงามตามธรรมชาติ และได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1988





นักท่องเที่ยวเยอะมาก หลายคนถอดรองเท้าเดินลงไปแช่ น้ำไม่ร้อนเท่าไรครับ เดินได้
แต่พื้นบางจุดจะลื่นมาก เพราะมีตะไคร่น้ำ ต้องระวังให้มากนะครับ





เราเดินจากจุดนี้ไปตามทางเดินไปทางขวาเรื่อยๆ ตรงนี้คนจะน้อยกว่า และสวยกว่าครับ





ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาเดินทางกลับแล้วครับ
ตอนนี้เวลาประมาณทุ่มครึ่งแล้ว แต่ฟ้ายังไม่มืด
แวะถ่ายดอกไม้สวยๆบนไหล่เขา ก่อนขึ้นรถไปยังที่พัก



นั่งมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงโรงแรมที่พักแล้วครับ เราพักกันที่ Richmond Thermal Pamukkale
แวะทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารโรงแรม ก่อนขึ้นห้องพักครับ
อาหารโรงแรมเป็นแบบบุฟเฟ่ ไม่ค่อยถูกปากเท่าไร แต่พวกผลไม้ก็มีให้เลือกหลายอย่าง
สตรอเบอรี่ลูกใหญ่ แต่ไม่ค่อยหวานออกเปรี้ยวนิดๆ คืนนี้ต้องคงพึ่งมาม่าซะแล้ว



ห้องพักโอเค ขนาดกะทัดรัด  ทางเดินในโรงแรมคดเคี้ยวมาก กว่าจะหาห้องเจอก็เหนื่อยเหมือนกัน







เข้าวันที่ 2  เรามีเวลาเยอะหน่อย เพราะบางคนไปขึ้นบอลลูนกัน กว่ารถจะออกก็ประมาณ 9.30 น.
ด้านหลังห้องพักเป็นสวน มีทางเดินไปชมวิวด้านหลังโรงแรม







พื้นที่โรงแรมใหญ่ประมาณนึงเลยครับ มีสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส บ่อน้ำร้อน







น้องเหมียวผู้คุมสระว่ายน้ำ น่ารักซะไม่มี
แต่ไม่กล้าเข้าใกล้มาก กลัวโดนกัด555





ตอนนี้ยังเห็นบอลลูนลอยอยู่บนท้องฟ้าอยู่  แต่ก็ใกล้ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้วครับ



จากปามุคคาเล่ เราออกเดินทางต่อไปยังเมืองอันตาเลีย Antalya ระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร นั่งยาวๆ ไปครับ
ระหว่างทางก็จะมีแวะให้เข้าห้องน้ำตามร้านขายของที่ระลึกบ้าง ส่วนใหญ่จะเสียเงินค่าเข้าห้องน้ำ คนละ 1.5-2 ลีรา











เราแวะทานมื้อเที่ยงกันก่อนครับ วิวสวยใช้ได้
อาหารมื้อนี้เสิร์ฟเป็นเซ็ต มีทั้งขนมปัง ออเดิร์ฟ ผักสด และปลาย่างพร้อมข้าว
ปลาย่างกับข้าว มีน้ำจิ้มแจ่วจากไกด์มาด้วย ยิ่งมีรสชาติดี แต่ก้างเยอะมากครับ













ทานข้าวเสร็จ เดินออกตามซอย ลัดเลาะไปตามบ้านเรือน เพื่อไปยังท่าเรือ
ระหว่างทางมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก แต่ละร้านตกแต่งอย่างสวยงาม



เรือโจรสลัดลำนี้ครับ ที่เราจะล่องชมความงามของอ่าวริมทะเลสาบเมดิเตอร์เรเนียน
บรรยากาศระหว่างทางได้ชมวิวเพลินๆ ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงครับก็กลับ เพราะคลื่นเริ่มแรง เกรงจะไม่ปลอดภัย




Hidirlik Tower เป็นหอคอยทรงกลมที่สร้างจากหินสีน้ำตาลอ่อน ในอดีตใช้เป็นป้อมปราการ หรือประภาคาร



หลังจากกลับมาที่ท่าเรือ เดินขึ้นบันไดมาด้านบน มุมนี้จะมองเห็นท่าเรือสวยมากครับ
จากนั้นเดินลัดเลาะไปตามซอยผ่านร้านกาแฟ ร้านอาหาร ไปยังประตูเฮเดรียน































Hadrian's Gate ประตูเฮเดรียน เป็นประตูชัย สร้างขึ้นตามชื่อของจักรพรรดิโรมันเฮเดรียน ในช่วงศตวรรษที่ 2
โดยประตูนั้นถูกสร้างขึ้นในรูปทรงโค้ง จำนวน 3 ประตู





จากนั้นก็เดินไปตามถนน ชมบรรยากาศในตัวเมือง ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ที่พัก






คืนที่สอง เราพักกันที่ Ramada Resort Lara โรงแรมใหญ่มากครับ มีหลายตึก
รอบๆ โรงแรมก็มีย่านร้านค้า ห้าง ให้ช็อปกันอีกด้วย









ห้องพักเป็นเตียงควีน 1 เตียง และเตียงเล็กอีก 1 เตียงครับ ห้องน้ำก็ตกแต่งสวยงาม
ส่วนโถชักโครกจะมีท่อฉีดชำระติดอยู่ที่ขอบโถเกือบทุกที่ครับ ใครจะใช้ก็ดูดีดีก่อนนะครับ แต่ไม่ใช้น่าจะดีกว่า





 เก็บของเสร็จก็ลงมาทานอาหารมื้อเย็นที่ด้านล่างของตึกหลัก ไลน์อาหารเยอะมากครับ
















วันที่สาม หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย  เราออกเดินทางกันยาวๆ สู่เมืองคัปปาโดเกีย ระยะทาง 542 กิโลเมตร



แวะทานมื้อเที่ยงกันระหว่างทาง รสชาติก็พอกินได้ครับ











แวะซื้อไอติมหน้าร้านแถวนั้น ไม่อร่อยเท่าไร55



หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อ ประมาณบ่ายสอง ก็ถึง Caravansarine ซึ่งเป็นสถานที่พักแรมของพ่อค้าชาวเติร์ก สมัยออตโตมัน
แต่ตอนที่เราไป กำลังซ่อมแซมอยู่ครับ เลยได้ชมแต่ภายนอก




ด้านข้างของ Caravansaraine เป็นร้านขายของที่ระลึกครับ มีห้องน้ำบริการ แต่เสียค่าเข้าเหมือนเคย
ภายในมีของที่ระลึกเยอะเลย แต่ราคาก็ต้องลองพิจารณาดูก่อนครับ แต่พวก magnet อยากซื้อต้องซื้อเลยครับ
ลายที่นี่สวย มีให้เลือกเยอะด้วย เสียดายไม่ได้ซื้อมา






จากนั้นก็นั่งรถต่อ วิวข้างทางสวยงามแปลกตา







พอถึงเมืองคัปปาโดเกีย ก็จะเห็นบ้านเรือนสร้างอยู่ตามภูเขาหินแบบนี้





เราแวะโรงงามพรมกันก่อนครับ ภายในก็จะแสดง สาธิตเกี่ยวกับพรมชนิดต่างๆ
ลายของที่นี่สวยมาก แต่ราคาก็แพงมากกกก เช่นกัน ซื้อไม่ลงเลยครับ
ผื่นเล็กๆ ก็หลายหมื่นแล้ว  ภายในห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีมาให้ชมครับ



ออกจากโรงงามพรม ก็เลยห้าโมงเย็นแล้ว เดี๋ยวเราจะเข้าที่พักกันเลยครับ







ถึงแล้วครับที่พักคืนที่ 3 ของเรา Goreme Kaya Hotel
ดูจากภายนอกหรูหราใช้ได้เลยครับ ภายในก็ตกแต่งสวยงามเลียนแบบคล้ายกับถ้ำของจริง











ห้องพักของเรา ขนาดเล็กกะทัดรัด ทุกอย่างดูดี









เก็บของแล้วลงไปทานมื้อเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรมครับ
มื้อนี้หน้าตาอาหารดูดีน่ากินกว่าทุกมื้อ มีเนื้อไก่หลายเมนูเลย







อิ่มท้องแล้ว ประมาณสองทุ่มเรานั่งรถไปชมระบำหน้าท้องกันต่อครับ
เข้ามาภายในก็จะเป็นโถงขนาดใหญ่มีที่นั่งรายล้อมแต่ละมุม มีถั่ว ผลไม้ และเครื่องดื่ม ให้ทานระหว่างชมโชว์
แรกๆ จะเป็นโชว์เต้นของชายหญิงชาวตุรกี ครับ ช่วงท้ายจึงจะเป็นโชว์ระบำหน้าท้อง
ระหว่างโชว์ก็จะเรียกให้แขกที่ชม ไปร่วมเต้นด้วย ก็เพลินๆดีครับ โชว์ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษ จากนั้นก็กลับที่พักครับ











เช้าวันใหม่ที่ คัปปาโดเกีย ปกติเราจะต้องได้ไปขึ้นบอลลูนชมวิวสวยๆ ของเมือง
แต่วันนี้อากาศไม่ดี ถึงจะจองบอลลูนได้ ก็อดขึ้นอยู่ดีครับ  วันนี้จึงไม่มีโอกาสเห็นบอลลูนขึ้นเต็มท้องฟ้า
ไม่เป็นไรครับ ไม่ขึ้นก็ประหยัดตังในกระเป๋า 555 ปลอบใจตัวเอง





มาทานมื้อเช้ากันดีกว่าครับ มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในทริปก็ว่าได้
เพราะไกด์เตรียมมาจากไทย ข้าวต้ม ไข่เค็ม ผักกาดดอง ปลาทอด
ผักกาดดองนี่ช่วยแก้เลี่ยนจากหลายๆมื้อที่ผ่านมาได้ดีเลยครับ



ออกจากโรงแรม เราไปชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เกอเรเม่ Goreme Open Air Museum
ในช่วง ค.ศ.9 ที่นี่เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการจะเผยแพร่ศาสนา
โดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างโบสถ์ และ ยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์
ภายในจะมีโบสถ์ ลักษณะจะเป็นห้องขนาดเล็กอยู่ตามถ้ำ เปิดให้ชมแต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ











ออกจากพิพิธภัณฑ์เกอเรเม่ ตรงทางเข้าจะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ ร้านนี้ซื้อได้ครับ ราคาไม่แพง



ระหว่างทางเดินลงไปยังลานจอดรถด้านล่าง มีบรีการให้ขี่อูฐด้วย







บริเวณด้านล่างก็มีร้านขายของที่ระลึกเรียงรายตลอดทางครับ พวงกุญแจบลูอายส์ 4 อัน 10 ลีรา
แต่ถ้าไปซื้ออิสตัลบูล เจอบางร้าน 5 อัน 10 ลีราครับ



จากนั้นแวะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ร้าน Han Restaurant ครับ




เจ้าแมวตัวนี้คอยรับแขกอยู่หน้าร้านอาหารครับ น่ารักเชียว
เวลาเรียกมัน ห้ามเรียก เมี๊ยวๆ นะครับ คนตุรกีบอกว่า ต้องเรียก ซิบๆ ถึงจะมา



ทานเสร็จก็เดินไปชมโรงงานผลิตเซรามิค Venessa Selamik ที่อยู่ใกล้ๆกัน
บางใบสะท้อนแสงในที่มืด เป็นลวดลายเฉพาะของที่นี่เท่านั้น
งานแต่ละชิ้นสวยมาก ส่วนราคาก็สูงมากกกกเช่นกันครับ  อยากจะซื้อสักชิ้น แต่หมดปัญญาจริงๆ









จากนั้นประมาณบ่ายสอง เราก็เดินทางต่อไปยัง นครใต้ดินไคมัคลี Underground City of Derinkuyu or Kaymakli
ที่แห่งนี้เกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัย จากข้าศึกศัตรู
นครใต้ดินแห่งนี้มีชั้นล่างที่ลึกที่สุด ถึง 85 เมตร ภายในเมืองใต้ดินนี้ มีพร้อมทุกอย่าง
ทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน











ภายในถ้ำอากาศเย็นสบาย เนื่องจากมีการเจาะรู เพื่อการถ่ายเทอากาศ



จากนครใต้ดิน ทัวร์พาไปแวะถ่ายภาพตรงจุดนี้ด้วยครับ



ร้านขายของที่ระลึกตรงนี้ราคาไม่แพงเลยครับ



ประมาณเกือบสี่โมงเย็น เราแวะไปทานอาหารกันก่อนขึ้นเครื่องครับ
มื้อนี้เป็นข้าวกับปลาย่าง ค่อยยังชั่ว










จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังสนามบิน Kapadokya Havalimani Airport เมืองเนฟเชียร์ เพื่อเดินทางไปยังเมืองอิสตัลบูล
สนามบินแห่งนี้มีขนาดเล็กมากครับ ต้องเดินออกมาขึ้นเครื่องที่จอดอยู่ด้านนอก
ตอนกำลังจะเดินขึ้นเครื่อง น้องชายนึกได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ตรงที่นั่งรอ ต้องรีบวิ่งกลับไปเอา ดีที่ยังอยู่





จากสนามบินอิสตันบูล นั่งรถบัสมายังโรงแรม Gonen Hotel Yeni Bosna
กว่าจะได้เข้าห้องก็ประมาณ ห้าทุ่ม ละครับ







ตอนเช้าทานอาหารที่โรงแรม ไลน์อาหารที่นี่ก็ทั่วไปนะครับ



จากนั้นเราก็ออกเดินทางเที่ยวภายในเมืองอิสตัลบูล เช้านี้มีฝนตกครับ
สองข้างถนนภายในตัวเมือง ประดับประดาไปด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม



แวะกันที่ร้านเสื้อหนังกันก่อนครับ มีนายแบบ นางแบบ มาเดินแบบเสื้อหนังให้ชมกันด้วย
ใครชอบเสื้อตัวไหน ก็จดหมายเลขไว้ครับ แต่ราคาสูงเอาเรื่องครับ




จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง พระราชวังทอปกาปึ Topkapi Palace







ผ่าน Blue Mosque กำลังซ่อมแซมอยู่ครับ





Mosque of Hagia Sophia



พระราชวังทอปกาปึ สร้างขึ้นในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 และได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.1924
พิพิธภัณฑ์พระราชวังทอปกาปึแห่งนี้ มีห้องที่น่าสนใจ คือ ห้องท้องพระคลัง ซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติ และวัตถุล้ำค่ามากมาย
โดยมี กริชแห่งทอปกาปึ ตัวด้ามประดับด้วยมรกตเม็ดใหญ่ 3 เม็ด กับเพชร 86 กะรัต เป็นไฮไลท์สำคัญ

บริเวณทางเข้าครับ นักท่องเที่ยวเยอะมาก



เมื่อเข้ามาจะเป็นทางเดินยาว ด้านข้างเป็นสนามหญ้า















ด้านหลังจะติดกับทะเลครับ จุดนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมาก
และตรงนี้เอง ขณะที่เรากำลังถ่ายรูปอยู่ ก็มีผู้หญิงคนนึงมายื่นมือถือให้พี่สาวช่วยถ่ายรูปให้หน่อย
พี่สาวก็ยื่นมือถือมาให้เราถ่าย ถ่ายให้ไป 2-3 รูป  ก็ไม่มีอะไร
แต่หลังจากออกจากพระราชวัง เดินไปตามถนน เพื่อไปยังร้านอาหาร
พี่สาวรู้สึกว่ากระเป๋าสะพายเปิดอยู่ จึงเปิดดู พบว่าซองเงินในกระเป๋าหายไป เลยไม่แน่ใจว่าจะหายจากตรงจุดนี้หรือเปล่า
เพราะมาคิดๆดู ก็ยังไม่รู้ว่าหายไปตอนไหน มีผิดสังเกตแค่ตรงที่มีคนเอามือถือมายื่นให้ถ่ายแค่นั้นครับ  หมดไปหมื่นกว่าบาท















ออกจากพระราชวัง เดินตามทางข้างถนน ไปยังร้านอาหารครับ
มื้อนี้เป็นอาหารจีนด้วย แต่กินไม่อร่อยเลย มัวแต่ยุ่งเรื่องเงินหาย






จากนั้นไปชมฮิปโปโดรม Hippodrome หรือสนามแข่งม้าโบราณ
มีเสาโอเบลิสค์ ซึ่งเหลือแค่ส่วนปลายที่ยาว 20 เมตร แต่ก็ยังมีความสวยงามอยู่มาก เพราะมีงานแกะสลักที่มีความหมาย และมีค่ายิ่ง







จากนั้นเดินไปชม Blue Mosque หรือ สุเหร่าสีน้ำเงิน ที่เรียกแบบนี้ เพราะใช้กระเบื้องสีน้ำเงินในการตกแต่งภายใน
ทำเป็นลายดอกไม้ต่างๆ ทั้งดอกกุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น  และมีเอกลักษณ์อีกอย่างที่อยู่ภายนอก
คือ หอประกาศเชิญชวน เมื่อถึงเวลาทำพิธีละหมาด Minaret จำนวน 6 หอ
เท่ากับสุเหร่าที่นครเมกกะ  (ที่นี่ผู้หญิงต้องแต่งกายรัดกุม และมีผ้าพันศรีษะด้วยครับ)









จากนั้นเดินต่อไปที่ สุเหร่าเซนต์โซเฟีย Mosque of Hagia Sophia ซึ่งเป็น 1 ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
ปัจจุบันใช้เป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม  ในอดีตโบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ ภายในมีเสาที่สลักอย่างงดงาม 108 ต้น



















และที่สุดท้ายของวันนี้ คือ อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน YeREBATAN Sarnici
สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิจัสตินเนียน ในปี ค.ศ.532 เพื่อเป็นที่เก็บน้ำสำหรับใช้ในพระราชวัง
สำรองไว้ใช้ในยามที่กรุงอิสตันบูล ถูกข้าศึกปิดล้อมเมือง











ฐานเสาสลักเป็นรูปหน้าของเมดูซ่า อย่าเผลอจ้องตาเชียวนะเพี้ยนหัวเราะ





จากนั้นไปทานมื้อเย็น ก่อนเข้าโรงแรมครับ มื้อไหนมีข้าวกับปลาย่าง มื้อนั้นรอดตายแล้ว









เช้าวันสุดท้ายในเมืองอิสตันบูล วันนี้ฝนก็ยังคงตกอยู่เหมือนเดิมครับ อากาศไม่ค่อยดีเลย


วันนี้เราจะไปเที่ยวกันที่ พระราชวังโดลมาบาเช่ ซึ่งจะผ่านสนามกีฬา BJK Vodafone Park







พระราชวังโดลมาบาเช่ Dolmabache เป็นพระราชวังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญอย่างสูงสุดทั้งทางวัฒนธรรม และทางวัตถุของจักรวรรดิออตโตมัน
ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 12 ปี  เป็นศิลปะผสมผสานของยุโรป และตะวันออก ที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม
ภายนอกเป็นสวนดอกไม้ อยู่โดยรอบพระราชวัง ภายในเป็นห้องต่างๆ และฮาเร็ม
ตกแต่งด้วยโคมระย้า บันไดลูกกรงแก้วเจียระไน และมีโคมไฟขนาดใหญ่ หนักถึง 4.5 ตัน
ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ แต่สวยและหรูมาก

















Clock Tower



จากนั้น มื้อเที่ยง ไปทานอาหารกันที่ร้าน Kebap House Restaurant
ภายในตกแต่งสวยมากครับ มีโคมไฟห้อยเต็มเพดาน เป็นอีกหนึ่งมื้อที่อร่อยมากครับ















จากนั้นไปล่องเรือในทะเล ผ่านช่องแคบฟอสฟอรัส ซึ่งแบ่งระหว่างยุโรป และเอเชีย
เชื่อมทะเลดำ กับทะเลมาร์มาร่า เข้าด้วยกัน มีความยาว 32 กิโลเมตร
บรรยากาศสองฝั่งทะเล สวยงามมากครับ ท้องฟ้าก็เป็นใจ













พอขึ้นฝั่งแถวๆ Galata Bridge เราก็เดินไม่ไกลมายังตลาด Spice Market







ตลาด Spice Market หรือ ตลาดเครื่องเทศ มีของขาย ของฝากหลากหลายชนิด
ที่เด่นๆ เห็นจะเป็นขนม Turkish Delight มีหลายเจ้า หลายราคา
นอกจากนั้นก็มีพวกของที่ระลึก อย่างพวงกุญแจ จาน ชาม ก็สามารถหาซื้อได้ที่ไหน
เผลอๆบางอย่างราคาอาจจะถูกกว่าที่เราซื้อมาก่อนหน้านี้ด้วยครับ 555









ร้านขายเคบับ บริเวณทางออกด้านหลัง ไม่ค่อยถูกปากเท่าไร
แถวนี้มีร้านรับแลกเงินด้วยครับ ใครตังค์ไม่พอก็มาแลกได้





ข้างๆ ตลาดยังมีร้านขายไม้ดอก  ต้นไม้ สัตว์เลี้ยง ด้วยนะครับ
ไปเดินดูเพลินๆ  นี่ก็ได้หัวไม้ดอกกลับมานิดนึง





จากนั้นเราเดินทางไปยังย่านทักซิม สแควร์ Taksim Square ถึงที่นี่ประมาณทุ่มนึง มีเวลาให้เดินประมาณชั่วโมงครึ่ง
ย่านนี้เป็นย่านคึกคักมากที่สุดในมหานครอิสตันบูล
คำว่า Taksim หมายถึง การแบ่งแยก การกระจาย ซึ่งมีที่มาจากในสมัยของ Sultan Mahmud I
ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำในยุคของออตโตมัน  และเป็นจุดที่สายน้ำจากทางตอนเหนือ ถูกรวบรวม และกระจายออกไปยังส่วนอื่นๆ ของเมือง
นอกจากนั้น  Taksim ยังหมายถึงรูปแบบดนตรีพิเศษในเพลงคลาสสิตของตุรกีด้วย
ย่านนี้มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ฟาสท์ฟู้ด ร้านเสื้อผ้า ห้างสรรพสินค้า ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินตลอดเส้นทาง










หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับครับ ไฟลท์ออก 01.25 น.
เช็คอินเอง โหลดกระเป๋าเองทุกขั้นตอนเลยครับ
เป็นอันจบทริปเที่ยวตุรกีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ครับ
หลังจากเที่ยวจบ ถ้าถามว่าประทับใจอะไรที่สุด คงจะเป็นพระราชวังโดลมาบาเช่ ครับ
ล่องเรือช่องแคบฟอสฟอรัสก็ดี จริงๆ ถ้าได้ขึ้นบอลลูนที่คัปปาโดเกีย คงจะเป็นอะไรที่ประทับใจสำหรับทริปนี้มาก แต่ก็อด

เคยเห็นตุรกีมีทัวร์อีกเส้นทางนึง ที่เน้นธรรมชาติ ไล่ไปตามขอบประเทศทางทิศตะวันออกของตุรกีเลยครับ น่าไปมาก

รีวิวนี้อาจจะไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เท่าไร ถือว่าชมภาพเพลินๆนะครับ
ขอบคุณทุกๆคนที่แวะมาชมครับ มีโอกาสไว้เจอกันทริปหน้านะครับเพี้ยนสวัสดี