วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

oLos in U.S.A.2015 ..." ขับรถเที่ยว 8 อุทยานแห่งชาติในเวสท์อเมริกา เพลิดเพลินไปกับสีสันของดอกไม้ป่าในฤดูร้อน " ...=1=

สวัสดีครับอมยิ้ม01

ตอนนี้เมืองไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว เมื่อคืนนี้ที่บ้านฝนก็ตกเกือบทั้งคืนฝน
ระบายน้ำกันแทบไม่ทัน แต่บางพื้นที่ก็ได้ข่าวว่าแห้งแล้งมาก
ธรรมชาติช่างไม่มีความพอดีซะจริง

ในขณะที่เรากำลังชุ่มฉ่ำอยู่ในฤดูฝน แต่อีกฟากหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา ช่วงนี้เป็นฤดูร้อนของที่นั่น
พื้นที่บนยอดเขา หิมะกำลังละลาย  อากาศกำลังเย็นสบาย
แต่บางแห่งอุณหภูมิอาจจะพุ่งมากกว่า 40 องศา อย่างเช่นที่เมืองลาสเวกัส
แต่บางคนอาจจะสงสัย อากาศร้อนแล้วมันจะน่าเที่ยวเหรอ
สถานที่บางแห่งในแต่ละฤดู ก็จะเห็นทิวทัศน์ในมุมที่สวยงามแตกต่างกันไป
หากไปเที่ยวทะเลสาบบนยอดเขาในฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบก็คงเป็นน้ำแข็งอยู่
ไม่มีทางที่จะสวยกว่าฤดูร้อน ที่เห็นน้ำเป็นสีฟ้าหรือเขียว อย่างแน่นอน

นอกจากวิวทิวทัศน์จะสวยไปอีกแบบแล้ว ฤดูร้อนก็เป็นสวรรค์ของคนรักดอกไม้ดอกไม้
ดอกไม้ป่าตามอุทยานแห่งชาติต่างๆ จะทยอยเติบโต และผลิดอก สร้างสีสันให้กับป่าอีกครั้ง

นี่แหละคือเหตุผล ที่ฤดูร้อนเป็นอีกช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดของอเมริกา



แรงบันดาลใจ

หลังจากปีก่อนได้ไปขับรถเที่ยวอเมริกามาแล้วครั้งนึง และประทับใจมาก
แต่ยังมีอีกสถานที่นึงที่อยากไป แต่ยังไม่ได้ไป เนื่องจากหิมะยังเยอะอยู่
นั่นก็คือ Grand Prismatics Spring ที่ YellowStone National Park
ซึ่งครั้งแรกที่เห็น ก็อึ้งในความสวยงามของธรรมชาติมากๆ
จนแอบคิด เฮ้ยยย มันมีอยู่บนโลกนี้จริงๆเหรอเนี่ย
ทำให้ปีนี้ ตั้งเป้าหมายว่า จะต้องไปให้ดูให้เห็นกับตาให้ได้


เตรียมตัวก่อนเดินทาง

สำหรับแผนการเที่ยวอเมริกาฝั่งตะวันตกของเรา คือ ขับรถเที่ยวแวะตามที่ต่างๆ วนเป็นลูป
โดยเริ่มต้นการเดินทางกันที่ลอสแองเจลลิสเหมือนเดิม  ขับตรงไปซานฟรานซิสโก
ก่อนเข้าสู่รัฐโอเรกอน วิ่งต่อขึ้นไปจนเหนือสุดของอเมริกาที่รัฐวอชิงตัน
ขับไปทางตะวันออกที่รัฐมอนทาน่า  และวกกลับลงมาที่รัฐไวโอมิ่ง, ยูท่าห์, เนวาด้า, อริโซน่า
ก่อนกลับเข้าสู่แคลิฟอร์เนียตามลำดับ รวมระยะทางกว่า 4,500 ไมล์ (7,200 กม.)

เราเลือกเดินทางในช่วงต้นของฤดูร้อน คือ ประมาณกลางเดือนมิถุนายน
แต่เนื่องจากมีเวลาอันจำกัด  ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่ถนนหรือ Trail ต่างๆในแถบตอนบนจะปิด
โดยเฉพาะถนนเส้น Going to the sun Road ใน Glacier National Park
ก็ต้องคอยติดตามข่าวที่แจ้งทางเว็บไซต์ของอุทยานนั้นๆเป็นระยะ
ซึ่งหากจะมาเที่ยวช่วงฤดูร้อน แนะนำว่าเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม จะเหมาะกว่า

หลังจากทำแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ จนรู้จำนวนวันที่จะเที่ยวแล้ว  ก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินกันต่อ
ครั้งนี้ยังคงบินกับ Cathay Pacific เพราะสะดวกและมีเที่ยวบินหลายไฟลท์ให้เลือก
จากนั้นจึงเริ่มจองที่พัก โดยพยายามหาที่พักที่มีครัว สามารถทำอาหารได้
ซึ่งกว่าจะหาที่ถูกใจเราทั้งในเรื่องราคา และความเหมาะสม  ก็ยากพอสมควร
หากมีผู้สูงอายุเดินทางไปด้วย บางแห่งจะให้ราคาพิเศษ Senior rates
แต่ต้องแสดง Passport เวลาเช็คอินด้วย

พอใกล้วันเดินทาง ก็เตรียมทำใบขับขี่สากล ประกันการเดินทาง
จัดกระเป๋า และเตรียมเอกสารใบจองต่างๆ ให้เรียบร้อย
หลังจากนับวันรอมานานหลายเดือน  ตอนนี้พร้อมออกเดินทางกันเลย!
 

 แผนการเดินทาง

Day  1 BKK-HKG-LAX
Day  2 Rose Bowl Flea Market/Huntington Beach
Day  3 Shopping
Day  4 Irvine-Santa Barbara-Solvang-Monterey
Day  5 Monterey-San Francisco
Day  6 San Francisco-Red Wood NPS-Crater Lake NPS
Day  7 Cascade Lakes-Woodburn Premium Outlet-Portland
Day  8 Portland-Trilium Lake-Hood River Valley-Centralia
Day  9 Centralia-Olympic NPS-Port Angeles
Day 10 Port Angeles-Mount Rainier NPS-Yakima
Day 11 Yakima-Glacier NPS
Day 12 Glacier NPS-Helena
Day 13 Helena-Yellowstone NPS
Day 14 Yellowstone NPS-Grand Teton NPS
Day 15 Grand Teton NPS-Salt Lake City/Sandy
Day 16 Salt Lake City/Sandy-Las Vegas
Day 17 Las Vegas-Route 66-Grand Canyon NPS
Day 18 Grand Canyon NPS-Irvine
Day 19 Shopping
Day 20 Shopping
Day 21 LAX-HKG-BKK


วันที่ 1

วันเดินทาง ไฟลท์บินของเราออกเดินทาง เวลา 08.35
แต่เราไปถึงสนามบินกันตั้งแต่ตีสี่ เพราะเดินทางมาจากต่างจังหวัด
มีผู้โดยสารเริ่มมารอเช็คอินไฟลท์แรกกันอยู่พอสมควร

สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางกับสายการบินคาเธ่ย์ สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ล่วงหน้า 48 ชั่วโมง
ทั้งทางเว็บไซต์ของคาเธ่ย์ แปซิฟิค หรือทางแอพพลิเคชั่น ก็ได้
เราเช็คอินออนไลน์แล้ว มาถึงก็แค่โหลดกระเป๋าที่ช่อง Self Check-In Bag Drop
ไม่ต้องไปเสียเวลาต่อแถวที่ช่องเช็คปกติซึ่งแถวยาวมากกว่า
และก่อนเช็คอินอย่าลืมถ่ายรูปกระเป๋าเดินทางของเราไว้ทุกใบ
เผื่อมีปัญหาในการเคลมกระเป๋าเดินทาง หรือกระเป๋าเดินทางสูญหาย จะได้มีหลักฐานเก็บไว้

หลังจากเช็คอินเรียบร้อย จะได้บอร์ดดิ้งพาส 2 ชุด ชุดแรก BKK-HKG และ HKG-LAX
พร้อม Tag หลักฐานที่เราโหลดกระเป๋าแต่ละใบ
ซึ่งต้องตรวจสอบรายชื่อ และจำนวน ว่าถูกต้องหรือไม่ ก่อนเดินเข้า ตม.ไปยังเกทที่ระบุไว้

ครั้งนี้เราได้บัตรเชิญเข้าเลานจ์ จึงมีเวลาไปนั่งพัก ทานของว่างก่อนเข้าเกท
ซึ่งเลานจ์ของคาเธ่ย์ เพิ่งได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่ บนพื้นที่ที่ใหญ่กว่าเดิม
ตกแต่งอย่างสวยงาม มีมุมเครื่องดื่ม อาหารว่าง อาหารร้อน และห้องน้ำให้บริการ 









นั่งเล่นกันพอสมควร ก่อนถึงเวลา เราไปนั่งรอที่เกทกันต่อ
สำหรับสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่อง อย่าลืมตรวจสอบขนาดและน้ำหนักให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง
เพราะขนาดของกระเป๋าที่อนุญาตให้ถือขึ้นเครื่อง ตามข้อกำหนดฉบับใหม่
คือ ขนาด 21.5 x 13.5 x 7.5 นิ้ว (หรือ 55 x 35 x 20 ซม.)
ไม่รวมกระเป๋าถือส่วนตัว เป้สะพายหลังขนาดเล็ก รวมถึงกระเป๋าโน้ตบุ๊ค และกระเป๋ากล้อง
เพื่อความแน่ใจ ควรตรวจสอบกับสายการบินก่อนเดินทางอีกครั้ง



สำหรับไฟล์ทแรก BKK-HKG เดินทางด้วย Airbus A330
บนเครื่องเสิร์ฟอาหาร 1 มื้อ เป็นบะหมี่ราดหมูสับ
เราพกพริกป่นขึ้นมาด้วย เลยปรุงเพิ่ม อร่อยทีเดียว ไม่งั้นอาจจะจืดไปหน่อย

ส่วนอีกเมนูที่ให้เลือก ออกแนวฝรั่ง เป็นพวกออมเลท ไส้กรอก



 ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงสนามบินฮ่องกง
เวลาที่นี่เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง อย่าลืมปรับเวลาด้วย เดี๋ยวตกเครื่อง



ที่นี่เรามีเวลาต่อเครื่องอีกประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง
เรามีบัตรเชิญเข้าเลานจ์ เลยไปนั่งรอ และทานอาหารกันที่นั่นก่อน
เลานจ์ของคาเธ่ย์ แปซิฟิค ที่สนามบินฮ่องกงมีหลายจุด แต่เราเลือกไปที่ The Wing
ซึ่งอยู่ใกล้กับเกทที่เราจะต้องต่อเครื่อง จะได้ไม่ต้องเดินไกล
ยื่นบัตรเชิญให้กับเจ้าหน้าที่เรียบร้อย ก็เดินขึ้นบันไดมาที่ชั้นบน
ที่นี่ตกแต่งสวยงาม หรูหราด้วยการประดับหินอ่อน โทนสีขาวดำ
พื้นที่กว้างขวาง มีที่นั่งหลายโซน  บริการอาหารว่าง อาหารร้อน เครื่องดื่ม พร้อม wifi





 

อาหารร้อน มาจากครัวของ Peninsula สามารถสั่งได้ ที่เคาน์เตอร์ที่อยู่ทางด้านใน
มีเมนูประมาณ 6-7 รายการให้เลือกสั่ง ซึ่งเมนูประเภทเส้น มีทั้งราเมง อุด้ง บะหมี่เกี๊ยว
รวมถึง ซาลาเปา ขนมจีบไส้ต่างๆ
ลองสั่งบะหมี่เกี๊ยว มาชิม รสชาติจืดไปหน่อย  ถ้าได้เครื่องปรุงแบบบ้านเรามาใส่เพิ่ม คงอร่อยกว่านี้
ส่วนซาลาเปาไส้หมูแดง ของฮ่องกง ขึ้นชื่ออยู่แล้ว อร่อยมาก ห้ามพลาด อย่าลืมสั่งมาชิม






สำหรับไฟลท์ HKG-LAX เดินทางด้วยเครื่อง Boeing 777-300ER
ก่อนขึ้นเครื่องจะมีเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะหน้าเกท คอยตรวจสัมภาระของผู้โดยสารแต่ละคน
เพื่อความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่อง   สำหรับไฟลท์นี้นั่งกันยาวๆเกือบ 14 ชั่วโมง
พอขึ้นเครื่องพนักงานจะแจกใบ Custom Declaration ให้ผู้โดยสาร
หากเป็นครอบครัวเดียวกัน ให้กรอกแค่ใบเดียวก็พอ ไม่ต้องกรอกทุกคน


พอขึ้นเครื่องได้สักพัก พนักงานก็เริ่มแจกขนม กับเครื่องดื่ม
ทานรองท้องกันไปก่อน
 

จากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมง ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารเย็น เป็นมื้อแรก
ตลอดไฟลท์ฮ่องกง-ลอสแองเจลลิส นี้ จะแจกอาหารทั้งหมด 2 มื้อ

มื้อแรกนี้มีให้เลือก 2 เมนูนึงเป็นไก่ อีกเมนูเป็นเนื้อวัว ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของคาเธ่ย์
เราเลือกข้าวหน้าเนื้อตุ๋น "Braised beef chu hou on steamed jasmine rice"
คิดว่ารสชาติต้องอร่อยแน่ๆ เพราะรอบก่อนเคยทานโจ๊กเนื้อ อร่อยสุดๆ
แล้วก็คิดไม่ผิด เนื้อเอ็นนุ่ม หอมละมุนลิ้น  จนอยากจะขอเพิ่มอีกชุดเลย



อิ่มแล้วก็นอนหลับพักผ่อน ผ่านไปอีก 10 ชั่วโมง ก็จะเสิร์ฟมื้อเช้า
ซึ่งมีให้เลือก 2 เมนู คือ Omelette กับ โจ๊ก
แน่นอนว่าเลือกโจ๊ก  เคยทานออมเลทแล้วเลี่ยนมาก
เป็นโจ๊กรวมมิตร ใส่ทั้งปลา ไก่  "Congee with dried bonito fish,peanuts and chicken"


ในที่สุด เครื่องก็แลนดิ้งลงสนามบินที่แอลเอ อย่างปลอดภัย
หลังจากนั้น ก็เดินไปผ่านการตรวจคนเข้าเมือง  คิวยาวมาก
ใช้เวลาต่อแถวประมาณเกือบชั่วโมง พอถึงคิว ก็เข้าพร้อมกันทั้งครอบครัว
รอบนี้ไม่ซักอะไรมากมาย  ถามรวมๆ แค่ครั้งเดียว ผ่านฉลุย

จากนั้นก็ไปรับกระเป๋าเดินทางที่สายพาน และผ่านด่านศุลกากร
แน่นอนโดนเรียกให้ไปสแกนกระเป๋าเหมือนเดิม แต่รอบนี้ไม่ต้องรอคิวนาน
พอเข้าเครื่องสแกนเสร็จก็เดินออกได้เลย  ไม่ถูกเปิดกระเป๋าเหมือนรอบก่อน

Welcome to Los Angeles!!pompom


เดินออกมาด้านนอก ผู้คนล้นหลามจริงๆ คาดว่าคงเพราะเป็นวันเสาร์
หลังจากเจอรถเพื่อนพี่เรียบร้อย รีบกุลีกจอขนกระเป๋าขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ Irvine ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า

แผนวันนี้ไม่มีอะไรมาก ไป Shopping ซื้อของสดกันที่ Costco
เพื่อมาทำอาหารอร่อยๆ ทานกันที่บ้าน
เป็นอันจบวันแรก ด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากใช้เวลาเดินทางหนึ่งวันเต็มๆ


วันที่ 2

เช้าวันอาทิตย์ เรามีแผนไปถ่ายภาพป้าย Hollywood
แต่อากาศวันนี้ไม่เป็นใจเอาซะเลย ฟ้าครึ้ม หมอกลงจัด ท้องฟ้าขาวโพลน
เมื่อเราไปถึงที่  ป้ายฮอลลีวู้ดก็หายกลืนไปกับสายหมอกซะแล้ว
แต่ไม่เป็นไร ไปที่เป้าหมายหลักของเราในวันนี้กันต่อดีกว่า
"Rose Bowl Flea Market" หนึ่งในตลาดนัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก
เปิดขายทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของทุกๆเดือน ตั้งแต่เวลา 9.00am-4.30pm
ค่าเข้าชมสำหรับคนทั่วไป คนละ $8

http://www.rgcshows.com/RoseBowl.aspx


อากาศช่วงเช้า เย็นสบาย ไม่มีแดด รถยนต์ต่างจอดเรียงรายกันเต็มพื้นที่
ผู้คนมากมาย ต่างมากันแต่เช้าเพื่อมารอซื้อของที่ตลาดนี้

ข้าวของที่นี่มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งของใหม่ และของใช้แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังมากกว่า
บรรยากาศก็คล้ายๆตลาดนัดบ้านเรา ที่พ่อค้าแม่ค้าขับรถมาเปิดท้ายขายของ
สินค้ามีตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ โซฟา เก้าอี้ โคมไฟ ที่ใช้แล้ว พรมทอผืนใหญ่
ของตกแต่งบ้านต่างๆ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ที่ไม่ใช้แล้ว หรือจะเป็นไม้กระถางเล็กๆ ก็มีจำหน่าย





หากท้องร้อง ภายในก็มีซุ้มอาหาร และเครื่องดื่มจำหน่าย  เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ตลอดทั้งวัน
ถามว่าได้อะไรกลับไปบ้าง ส่วนตัวไม่ได้เลยสักชิ้น  ถือว่ามาเดินเล่นชมบรรยากาศละกัน





วันที่ 3

ตามแผนวันนี้เราจะออกไปช็อปปิ้งทั้งวัน แต่กว่าห้างจะเปิดก็เก้าโมงสิบโมงเช้าโน่น
เช้าวันนี้เลยสบายๆ มีเวลาทำอาหารทานกัน ไม่ต้องรีบ
เริ่มจากมื้อแรก ทำข้าวมันไก่  สำหรับน้ำจิ้มทำมาจากเมืองไทยแล้ว  ส่วนไก่และผักสดซื้อที่นี่
ส่วนมื้อกลางวันแซ่บไม่แพ้กัน อย่าง ผัดหมี่โคราช  ตำแตง และข้าวเกรียบทอด

วันนี้เราไปช็อปปิ้งกันแถว Irvine นี่ล่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านพวก T.J.MAXX, ROSS
ซึ่งมักจะขายของแบรนด์ที่ตกรุ่นแล้ว เอามาลดราคา  มีทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ของแต่งบ้าน
ถ้าเลือกดีดี ก็จะได้ของถูกใจกลับไป ในราคาที่ประหยัดกว่า



ช่วงเย็น มีแผนไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Huntington Beach
ขับรถจาก Irvine ไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง ช่วงนี้พระอาทิตย์ตกช้าหน่อยเกือบสองทุ่ม
ที่ริมหาดมีลานจอดรถอยู่หลายแห่ง แต่จอดริมถนนแล้วหยอดเหรียญเอา ประหยัดกว่า

ท้องฟ้าวันนี้เมฆครึ้มเหมือนเมื่อวาน มีลมทะเลพัดปะทะอยู่ตลอดเวลา
จริงๆอยากมาถ่ายรูปสะพานที่หาดนี้ตั้งแต่รอบก่อนแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้มา
มาครั้งนี้ก็จอดรถผิดฝั่งอีก เพราะถ้าอยากได้แสงยามเย็นสวยๆ กับสะพานยาวๆ ต้องไปถ่ายอีกด้านนึง



 


หาดที่นี่ไม่ได้ขาวเนียนสะอาดเหมือนบ้านเรา
มีทั้งซากปู สาหร่ายพัดขึ้นมาเกยอยู่เรียงรายเต็มหาด
แต่ผู้คนก็ยังนิยมมาเดินเล่น ออกกำลัง ที่ริมหาดอย่างเนืองแน่น
วันนี้โชคดี ได้เห็นแสงสีทองฉาบทั่วท้องฟ้า และพระอาทิตย์ดวงโต ที่ค่อยๆ ลาลับลงผืนน้ำไป




วันที่ 4


วันนี้เป็นวันแรก ที่เริ่มออกเดินทาง เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า
หลังจากเมื่อคืน ขนเสบียงอาหาร สัมภาระต่างๆ เก็บขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับกระเป๋าเดินทาง เราเปลี่ยนมาใส่เป็นแบบไร้รูปทรง จะได้ไม่เปลืองพื้นที่ท้ายรถ
รถพร้อม ของพร้อม ออกเดินทางกันเลยครับ!!


จาก Irvine ขับมุ่งหน้าตรงเข้าแอลเอ
อากาศวันนี้ยังขมุกขมัว และเป็นช่วงที่ผู้คนกำลังเดินทางออกมาทำงาน
ปริมาณรถเยอะเป็นพิเศษ จนการจราจรติดขัดเป็นช่วงๆ
แผนที่วางไว้เริ่มไม่เป็นอย่างที่คิด กว่าจะฝ่ารถติดในเมืองออกมาได้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง

เราใช้เส้นทางเข้าสู่ Highway 1 ซึ่งเป็นถนนเส้นเลียบมหาสมุทรแปซิฟิค
หนึ่งในถนน เส้นที่สวยที่สุดในอเมริกา จนในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายแรก Santa Barbara
เราแวะถ่ายรูปกันบริเวณริมหาด และ เข้าห้องน้ำที่ Visitor Center ก่อนออกเดินทางต่อ





 ออกจากซานต้าบาร์บาร่าใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็มาถึง Solvang เมืองที่มีกลิ่นอายสไตล์ Danish
ที่นี่เราจะเพลิดเพลินไปกับอาคารบ้านเรือนรูปทรงสวยงาม ร้านขนม ร้านอาหาร รวมถึงร้านค้าต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แวะถ่ายรูปกันแปบเดียว เนื่องจากปีก่อนเราเคยมาที่นี่แล้ว






จาก Solvang ขับต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง ไปยัง Lompoc Valley
เพื่อไปชมทุ่งดอกไม้สวยๆ ที่เกษตรกรจะปลูกเพื่อตัดดอก และเก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อส่งออก
ภายในแปลงจะมีไม้ดอกหลายพันธุ์ เช่นSweet Peas,Larkspur,
Stock, Marigolds, Sunflowers, Delphinium
โดยมีให้ชมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม 



สำหรับที่ตั้งของ Lompoc Flower Field จะอยู่ทางตะวันตกของเมือง Lompoc
ระหว่างถนน Central Avenue กับ Route 246


ช่วงที่เราไปเป็นช่วงกลางเดือนมิถุนายน  เราขับตรงไปที่ Floradale Ave
เห็นแปลงดอกไม้ แห่งนี้เพียงแห่งเดียวที่ปลูกเป็นทุ่ง สลับสีตัดกันไปมาอย่างสวยงาม
ส่วนแปลงอื่นจะปลูกผักชนิดต่างๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่โล่งไม่ได้ปลูกอะไร จนมองเห็นถนนอีกฝั่ง
เราแวะทานข้าวกล่อง เคล้าวิวทุ่งดอกไม้ ก่อนจะออกเดินทางต่อ



ตอนนี้บน Highway 1 ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง หลังจากมีเมฆขาวครึ้มมาหลายวัน
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่บริเวณริมชายฝั่ง มักจะมีเมฆ หมอก ละอองไอน้ำ ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ถือเป็นโชคดีของเรา ที่ครั้งนี้ยังพอมีโอกาสได้เห็นท้องฟ้าสีสด และแสงแดดอ่อนๆ บ้าง
หลังจากรอบก่อนผิดหวังไปเต็มๆ




ตามรายทางจะมีจุดชมวิว ให้ได้แวะถ่ายภาพ
บางจุดอยู่ตรงโค้ง ซึ่งสามารถจอดรถได้เพียงไม่กี่คัน
ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  



จริงๆแล้ว บนถนนเส้นนี้ยังมีที่เที่ยวข้างทางอีกหลายแห่งที่น่าเที่ยว
อาทิ ชมฝูงแมวน้ำที่ริมชายหาด หรือ  McWay Falls
แต่เรามีเวลาไม่มากนัก จึงแวะเพียงบางจุดที่น่าสนใจ
และที่ไม่ควรพลาดเลย คือ Bixby Creek Bridge
ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของถนนเส้นนี้ 


จาก Bixby Creek Bridge ไปประมาณ 2 ไมล์
เราจะแวะที่ Garrapata Beach เพื่อไปชม Calla Lily Valley
ซึ่งเจ้าดอกนี้ จะขึ้นอยู่บริเวณร่องน้ำที่ไหลผ่านบริเวณลำห้วย ก่อนที่ไหลลงสู่ทะเล

เราจอดรถกันริมถนน ฝั่งตรงข้ามทางเข้า Trail
เดินตามแนวรั้วกั้นไม่ไกล จะเจอกับชายหาด Garrapata






พรมผืนใหญ่หลากสีที่เห็นนั้น แท้จริงแล้วเป็นสีสันจากดอกไม้ป่านานาชนิด
ที่อวดโฉม แต่งแต้มความงดงามให้กับชายหาดแห่งนี้
คลื่นที่โหมซัดเข้าฝั่ง เสียงนกนางนวลที่บินทั่วท้องฟ้า
ทำให้บรรยากาศที่นี่เหมือนสวรรค์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ริมทาง



Calla lily อยู่ตรงไหนน้า
เราพยายามเดินบนหาดย้อนไปทางลำห้วย แต่ก็ไม่พบ
คลื่นก็ซัดใกล้เข้าฝั่งเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีทางเดิน ใช้เวลาสักพัก ก็ไม่เจอ
คงได้เวลาต้องไปละ ไว้มีโอกาสคงได้มาใหม่



ตามแผนเราจะไปแวะไปเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Carmel รวมถึง 17-Mile Drive เส้นทางขับรถชมวิวเลียบทะเลที่สวยอีกเส้นหนึ่ง
แต่ด้วยความเหนื่อยล้า จึงตกลงกันว่า ตรงไปยังเมือง Monterey เพื่อซื้อของสดที่ Safeway
และเข้าที่พักที่ Lone Oak Lodgeเลยจะดีกว่า


Lone Oak Lodge เป็นตึกชั้นเดียวรูปตัวยู
สามารถจอดรถที่หน้าห้องพักได้ ซึ่งสะดวกในการขนย้ายสัมภาระต่างๆ

เราจองห้องพักแบบ Family Room ซึ่งมีครัวพร้อมอุปกรณ์ สามารถทำอาหารได้
เมื่อเข้าไปด้านในมีเตียงขนาดควีนไซส์ และโซฟาเบด  ทางซ้ายมือเป็นส่วนของครัว และโต๊ะอาหาร
ถัดไปด้านในมีห้องนอน และห้องน้ำ อย่างละหนึ่งห้อง โดยรวมถือว่าสะดวกสบาย ราคาไม่แพง









วันที่ 5 


วันนี้เราจะไปเที่ยว San Francisco กัน
จาก Monterey ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงเศษ
จุดหมายแรกอยู่ที่ Twin peak ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่เห็นตัวเมืองซานฟรานทั้งเมือง
ด้านบนอากาศเย็น มีลมแรง และมีหมอกลง ทำให้ทัศนียภาพไม่ชัดเจนเท่าไร



จากนั้นเราเดินทางต่อ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ไปยัง Painted Ladies
บ้านสไตล์  Victorian 7หลัง เรียงติดกันเป็นแถว ที่เรามักเห็นภาพกันบ่อยๆ
เพนท์เลดี้ ตั้งอยู่บริเวณ Alamo Square ซึ่งชาวซานฟรานนิยมมาพักผ่อนกัน
หากมาที่นี่ช่วงสายๆ รูปจะย้อนแสง แนะนำว่าควรมาช่วงเย็น จะได้รูปที่สวยกว่า


มาซานฟรานทั้งที หากไม่มาสะพาน Golden Gate ก็เหมือนมาไม่ถึง
มีหลายจุดที่สามารถมองเห็นสะพานนี้ได้ ทั้ง Vista Point หรือ Crissy Field
แต่เราไปที่  Baker Beach ซึ่งติดกับชายทะเล  เพราะคิดว่าคงหาที่จอดได้ง่ายกว่า
แล้วก็ต้องผิดหวัง อากาศวันนี้ยังคงมีหมอกอยู่ ทำให้มองไม่ค่อยเห็นตัวสะพาน
แต่ที่นี่ก็ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งมานอนเล่นพักผ่อน หรือมาตกปลา




จริงๆแล้วเรามีแผนจะไปที่  Vista Point และเดินบนสะพาน Golden Gate
แต่หาที่จอดรถไม่ได้ เลยตรงไปที่ Palace of Fine Arts แทน
ที่นี่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบกรีก และโรมัน  หากเดินเข้าไปใกล้ๆ จะรู้ว่าขนาดใหญ่โตอลังการมาก
ถ้าใครจำได้ ที่นี่ถูกใช้ถ่ายทำละครเรื่องทรายสีเพลิงด้วยล่ะ



 

ที่สุดท้ายที่เราจะไป Lombard Street  ถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก
ซึ่งอยู่ในช่วงถนน Hyde Street กับ Leavenworth Street
ลักษณะของถนนจะคดเคี้ยวพับไปมา เพื่อลดความชันของถนนซึ่งชันมาก
จนกลายเป็นจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกันที่นี่
โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ไม้ดอกนานาชนิด จะผลิบานตลอดเส้นทาง
ครั้งนี้เราได้ลองขับรถลงมาตามถนน  เลยมีโอกาสถ่ายภาพตอนกำลังขับลงมาด้วย


จริงๆซานฟรานยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่น่าสนใจ
แต่เราจะขับข้ามสะพานโกลเด้นเกทไปยังฝั่ง Marine County
เพื่อไปช็อปปิ้งซื้อของสดที่ Safeway และเตรียมตัวเข้าที่พัก 


ที่พักของเราคืนนี้ คือ Marin Suites Hotel
ที่เราเลือกที่นี่ เพราะในตัวเมืองซานฟราน ราคาที่พักแพงกว่า และส่วนใหญ่จะไม่มีครัว
เราจองห้องพักแบบ Two Bedroom Suites ซึ่งเป็นแบบสองห้องนอน
ด้านในจะเป็นส่วนนั่งเล่น มีโซฟาเบด พร้อมโต๊ะทำงาน ถัดเข้าไปเป็นครัว และโต๊ะทานอาหาร





ด้านในสุดเป็นห้องนอน ห้องแรกเป็นเตียงคิงไซส์  ส่วนอีกห้องเป็นควีนไซส์ 2 เตียง
มีห้องน้ำอยู่ด้านนอก ซึ่งแม้จะมีห้องเดียว แต่ก็ไม่เป็นปัญหา




 มื้อเย็นทำอาหารง่ายๆทาน  ก่อนเก็บแรงไว้เดินทางต่อในวันพรุ่งนี้



วันที่ 6



วันนี้เป็นวันที่ต้องขับรถระยะทางไกลมาก   จากเดิมมีแผนจะไปเที่ยวที่ Crater Lake แห่งเดียว
แต่คิดว่าคงมีเวลาเหลือ เลยเพิ่มป่า Red Wood ซึ่งเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก เข้าไปด้วย

ออกจากที่พักกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง ก็มาถึงจุดหมายแรกChandelier Drive Thru Tree
รถยนต์ เสียค่าเข้าชมคันละ $5 เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 8.30 am-8.30pm


ต้น Chandelier Tree นี้เป็น Coastal Redwood ชนิดหนึ่ง
มีอายุมากกว่า 2,000 ปี และมีความสูงมากกว่า 315 ฟุต
ด้วยอายุที่มาก ทำให้ลำต้นมีขนาดใหญ่กว่า 21 ฟุต จนสามารถเจาะช่องให้รถวิ่งผ่านได้
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้นไม้นี้ยังคงยืนต้นอยู่ได้ โดยไม่ล้มตาย
ก็เนื่องจากว่ามันมีระบบรากแบบ Shallow Root System
ซึ่งระบบรากจะแผ่ออกด้านข้าง และชอนไชยึดกับพื้นดินไว้ ที่ความลึก 4-6 ฟุตนั่นเอง


นอกจากนั้นที่นี่ยังมีซากต้นไม้ใหญ่อีกหลายต้นให้ได้เก็บภาพกัน
รวมถึงมีร้านของที่ระลึก และห้องน้ำให้บริการอีกด้วย


 

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังพื้นที่ของ Humboldt Redwoods State Park
โดยขับรถไปตามถนน Avenue of the Giant
ซึ่งสเตทพาร์คนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Redwood National and State Parks
ตอนนี้เหมือนเราหลุดเข้ามาอยู่ในป่าผืนใหญ่ ที่มีต้นเรดวู้ดสูงชะลูดตลอดสองข้างทาง
สมแล้วกับที่ต้นเรดวู้ด เป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก
บนผิวดินด้านล่าง แสงส่องลงมาได้น้อย ทำให้พื้นดินมีความชื้นสูง
พืชส่วนใหญ่ในบริเวณนี้จึงเป็นพวกมอส และเฟิร์นชนิดต่างๆ



ที่นี่มี Trail หลายเส้นทางให้เลือกเดิน แต่เรามีเวลาไม่มากพอ
เราเลือกไปที่ Founders Grove Nature Trail
ระยะทางสั้นๆ ไปกลับ 0.5 ไมล์ ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที
ตามทางก็จะเป็นป่าเรดวู้ด แต่ไฮไลท์อยู่ที่ Founder Tree
ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก สูงถึง 104 เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นเกือบ 4 เมตร



ออกจากป่าเรดวู้ด เราเดินทางต่อเพื่อไปดู Elk ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง
เมื่อไปถึง นักท่องเที่ยวจอดรถกันเต็มไปหมด บางคนก็ถือกล้องส่องทางไกลในมือ
วันนี้โชคดีที่เห็นเจ้ากวาง Elk ฝูงใหญ่ นอนอยู่กลางทุ่ง อย่างไม่สนใจมนุษย์อย่างเราๆ
เวลานี้คงเป็นช่วงนอนกลางวันของพวกมันล่ะมั้ง




จากนั้นเราก็นั่งรถกันยาวๆ เกือบสามชั่วโมง มาที่เมือง Medford เพื่อซื้อของสดที่ Costco
ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง Crater Lake ใช้เวลาอีกสองชั่วโมง
พอเราถึงด่านทางเข้าอุทยาน ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว  ซึ่งขณะนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่ก็มีกล่องให้หย่อนเงินค่าเข้าไว้
เราวางแผนจะมาซื้อ Annual Pass กันที่นี่ ก็เป็นอันอดไป 



สำหรับ Crater Lake เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นภายในปล่องภูเขาไฟ
มีความลึกถึง 592 เมตร เป็นทะเลสาบที่มีความลึกมากที่สุดในอเมริกา
นักท่องเที่ยวสามารถขับรถเที่ยวรอบทะเลสาบได้
ภายในทะเลสาบมีเกาะอยู่ 2 เกาะ เกาะที่เห็นในภาพ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า คือ Wizard Island
ส่วนอีกเกาะมีขนาดเล็กกว่า รูปร่างคล้ายปราสาท มีชื่อว่า Phantom Ship

จากที่ตอนแรก เราจะแวะตามจุดชมวิวทางด้านตะวันตกของทะเลสาบ ก่อนเข้าที่พัก
สุดท้ายเราแวะเฉพาะ Rim Village Visitor Center เพียงแห่งเดียว
เนื่องจากสภาพแสงยามเย็นในวันนั้นย้อนแสง ไม่สวยเอาซะเลย ซึ่งจุดอื่นก็คงไม่ต่างกัน
อีกทั้งวันนี้ขับรถเดินทางกันไกลมากเกือบ 700 ไมล์ จนเริ่มจะเพลียกันแล้ว
หากมีแผนจะมาเที่ยวที่นี่ เวลาเช้า น่าจะเหมาะกว่า


ออกจาก Crater Lake ราวๆหนึ่งทุ่มเศษ ใช้เวลาเดินทางอีกเกือบชั่วโมง
แต่เนื่องจากเป็นฤดูร้อน กว่าพระอาทิตย์จะตกก็เกือบๆสามทุ่มไปแล้ว จึงยังไม่มืด
ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองเล็กๆที่มีชื่อว่า  Chemult เมืองนี้มีที่พักให้เลือกไม่มากนัก
Dawson house lodge เป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้
โรงแรมแห่งนี้อายุเกือบร้อยปี เป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดใน Central Oregon
ภายนอกเป็นบ้านไม้สองชั้น เราพักที่ห้อง The Loft ซึ่งอยู่บนชั้นสองติดกับถนนด้านหน้า
 


ห้องนี้มีทั้งหมด 3 เตียงนอน วางเรียงอยู่ในห้องเดียวกัน
มีชุดโซฟา ซึ่งปรับเป็นที่นอนได้ มีโต๊ะอาหาร ครัว  และห้องน้ำเล็กๆ 1 ห้อง
โดยรวมถือว่าใช้ได้ เพราะเมืองนี้หาที่พักที่มีครัวยากมาก
แต่อยากติเรื่องพรมมีกลิ่นอับ  กับห้องน้ำที่เล็กไปนิด และไม่มีอ่างล้างหน้าให้






วันที่ 7


อากาศเช้านี้ อุณหภูมิเกือบ 0 องศาเต็มที หนาวมากกก
วันนี้เราจะเดินทางไป Cascade Lakes ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของ Oregon
บนเส้นทางหมายเลข 46 มีระยะทางทั้งหมดประมาณ 66 ไมล์

Lake Lava เป็นทะเลสาบแห่งแรกที่เราแวะ
จากภาพนี้สามารถมองเห็นเทือกเขาสามแห่ง ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่  จากซ้ายไปขวา
คือ South Sister, Broken Top และ Mt.Bachelor


ที่นี่บรรยากาศดีมาก โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือ ที่มีสะพานไม้ยื่นออกไปกลางทะเลสาบ
เบื้องหน้าเป็นวิว South Sister ที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่
 



ทะเลสาบถัดมา คือ Hosmer Lake
จุดนี้สามารถมองเห็น Mt.Bachelor ได้อย่างชัดเจน
ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมาทำกิจกรรม ล่องเรือ พายเรือ และดูนก กันที่นี่



จากนั้นเดินทางต่อมายัง Elk Lake
ที่จุดนี้เป็นหาดกว้าง สามารถเห็นเวิ้งของทะเลสาบได้ 180 องศา
พร้อมกับวิวของ Mt. Bachelor และ South Sister



อีกจุดหนึ่ง บริเวณริมถนนหมายเลข 46 ที่สามารถเห็น  Mt.Bachelor ได้แบบเต็มๆตา



และจุดสุดท้ายที่แวะ คือ Sparks Lake ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาพายแคนู หรือคายัค กันที่นี่




ผ่านไปกว่าสี่ชั่วโมงสำหรับ Cascade Lakes สวยงามและน่าประทับใจมาก
จากนั้นเราเดินทางต่อ เพื่อไปช็อปปิ้งที่ Woodburn Premium Outlet
กะว่าคงได้อะไรติดไม้ติดมือหลายอย่าง  เพราะที่รัฐ Oregon ไม่มี Taxes
สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้ออะไรเท่าไร เพราะสินค้าในช็อปน้อยกว่าที่ลาสเวกัสมาก

จากเอ้าท์เลท เราขับตรงไปยังเมือง Portland ซึ่งการจราจรแน่นมาก
เราแวะซื้อของสดที่ Costco ก่อนจะเดินทางเข้าที่พักที่ Staybridge Suit Portland-Airport
ห้องพักของเราเป็นแบบ 2 Bedroom Suite 1 Queen 2 Double Beds
เปิดเข้ามา จะเจอส่วนโซฟาพักผ่อน โต๊ะอาหาร และครัว ที่มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ






ภายในห้องนอนก็ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ละห้องมีห้องน้ำส่วนตัว ไม่ต้องแย่งกัน




 แล้วก็ถึงเวลาแห่งความสุข นั่นคือ มื้อเย็นอันสุดแสนอร่อย
ส่วนก๋วยเตี๋ยวสำหรับมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้



วันที่ 8 


เนื่องจากเราแจ้งตอนเช็คอินว่า จะเช็คเอ้าท์ตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งไม่ทันกับเวลาอาหารเช้าของโรงแรม
ทางโรงแรมจึงเตรียมอาหารเช้าให้  แพกเกจจิ้งน่ารักสุดๆ


สำหรับแผนเที่ยววันนี้ เราจะขับรถวนเป็นลูปสามเหลี่ยม
บนเส้นทาง Mt.Hood Scenic Route โดยขับแบบทวนเข็มนาฬิกา 

cr : http://www.fhwa.dot.gov/byways/byways/61400/maps


จุดหมายแรกอยู่ที่ Trillium Lake ใช้เวลาเดินทางจากที่พักประมาณหนึ่งชั่วโมง
ลงจากรถ เดินไปที่ริมทะเลสาบ ก็ต้องร้อง โอ้วว สวยอ่ะ
ด้านหน้าที่เห็นเป็นแนวทิวสนเรียงยาวจนสุดสายตา ด้านล่างมีเงาสะท้อนบนผืนน้ำอีกด้วย


แต่มุมที่เคยเห็นในภาพก่อนมา มันไม่ใช่มุมที่เห็นอยู่ตอนนี้นี่นา
หากดูจากแผนที่แล้ว เราต้องเดินเท้าไปตามทางอีกหน่อยจนเจอ

คิดไม่ผิดเลยที่ตั้งใจมาที่นี่ตอนเช้า
หมอกจางๆ ลอยระเรื่อเหนือผิวน้ำ
บวกกับ Mt.Hood ที่เผยโฉมให้เห็นเบื้องหน้าแบบเต็มๆตา 



มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก บรรยากาศเงียบสงบ
ไม่มีใคร นอกจากพวกเรา และเจ้าเป็ดฝูงนี้

ถ้าได้เครื่องดื่มร้อนๆ มาจิบตอนนี้  คงจะดีไม่เบา 



จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง Hood River Lavender Farms
ที่นี่เป็นฟาร์มปลูกลาเวนเดอร์ ขนาดเล็ก
มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับลาเวนเดอร์จำหน่าย และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ตัดดอกสดด้วย
เราแวะมาถ่ายรูปกันไม่นาน แต่ก็ประทับใจ
เพราะฟาร์มแห่งนี้มีฉากหลังเป็น Mt.Hood ด้วย







ออกจากฟาร์มลาเวนเดอร์ เราเดินทางกันต่อบนเส้นทางหมายเลข 35
ตลอดทาง Mt.Hood ก็ยังออกมาอวดโฉมให้เราเห็นเป็นระยะ
สองข้างทางจะมีสวนผลไม้มากมาย สามารถแวะเข้าไปซื้อ หรือเก็บสดๆ จากต้นได้ด้วย


จุดหมายต่อไปอยู่ที่ Panorama Point County Park
ซึ่งเป็นจุดชมวิวมุมสูง สามารถเห็น Mt.Hood ได้แบบเต็มตา




จากนั้นเราเดินทางต่อบนเส้นทางหมายเลข 84 เพื่อไปชมน้ำตก ซึ่งมีมากมายตลอดเส้นทาง
แต่เราแวะเพียงบางแห่ง เนื่องจากวันเสาร์ นักท่องเที่ยวเยอะมาก หาที่จอดรถยาก
น้ำตกแห่งแรกที่แวะ คือ Horsetail Falls ตั้งอยู่ติดถนน
เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่มีสายยาวเหมือนกับหางม้า
ซึ่งหากเทียบกับน้ำตกที่เมืองไทยแล้ว ที่นี่จะดูธรรมดาไปเลย


น้ำตกอีกแห่งที่มีชื่อเสียงมากของที่นี่ คือ Multnomah Falls
เป็นน้ำตกที่ไหลตรงลงมาจากด้านบน มีสองชั้น
ด้านบนมีสะพานซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปสัมผัสสายน้ำที่ไหลสู่ด้านล่างได้อย่างใกล้ชิด
นักท่องเที่ยวมาชมน้ำตกแห่งนี้เยอะมากกว่าทุกแห่ง  เราเลยชมแค่ด้านล่างเท่านั้น เพราะไม่อยากไเบียดกับคนเยอะๆ


จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Vista House
ที่นี่สามารถชมวิวเบื้องล่างของ Columbia River George
ซึ่งแม่น้ำโคลัมเบียแห่งนี้เป็นเส้นแบ่งเขตรัฐระหว่าง Oregon กับ Washington อีกด้วย



 อีกจุดหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน นั่นคือ Portland Women's Forum
ที่จุดนี้เราจะเห็นวิวของ Vista House และ Columbia River George อันสวยงาม


จากนั้นเราขับตรงไปยังเมือง Centralia ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
เพื่อเข้าที่พักที่  Peppermill Empress Inn
เป็นห้องเตียงควีนไซส์ 2 เตียง สภาพห้องพักโดยรวมใช้ได้ ไม่มีครัว แต่มีไมโครเวฟให้
ขอติเรื่องกลิ่นบุหรี่ บริเวณทางเดินนอกห้อง ทั้งๆที่ชั้นที่พักเป็น Non-Smoking
แต่ภายในห้องพักไม่มีกลิ่นแต่อย่างใด
 
 




วันที่ 9


วันนี้เราจะขับรถขึ้นไปทางเหนือ เลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค
เพื่อไปเที่ยว Olympic National Park กันทั้งวัน
จุดหมายแรกเดินทางไปยัง Kalaloch Campground
มีนักท่องเที่ยวมาตั้งแคมป์ กางเต้นท์กันเยอะทีเดียว 



ด้านล่างเป็นชายหาดกว้าง ทรายที่นี่สีเทาๆ มีซากท่อนไม้ที่ตายหักลงมากองเต็มหาด
เช้าๆแบบนี้ ลมพัดเย็น อากาศดีมาก

 


จากนั้นไม่ไกลเราไปแวะกันที่ Ruby Beach
ลักษณะชายหาดก็คล้ายๆ กับที่เราเพิ่งไปมา มีท่อนไม้ กองเรียงรายเต็มไปหมด
อาจจะมีทั้งที่หักโค่นแล้วลอยมาตามแม่น้ำ หรือทะเล แล้วพัดมาที่ชายหาดแห่งนี้
ซึ่งท่อนไม้เหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต เป็นทั้งที่พักพิง รวมถึงแหล่งอาหารให้กับพวกนก ปลา และสัตว์น้ำอื่นๆ 






จุดหมายต่อไป คือ Hoh Rain Forest ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง
ก่อนเข้าจะเจอด่านของอุทยาน เราซื้อ Annual Pass และเปิดใช้กันที่นี่เป็นที่แรก
ราคา $80 สามารถใช้เข้า NP ได้ทั่วอเมริกา ภายในระยะเวลา 1 ปี
เวลาใช้ต้องยื่นบัตร Annual Pass พร้อม Passport ให้กับเจ้าหน้าที่อุทยานทุกครั้ง



สำหรับ Hoh Rain Forest ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ Olympic National Park
จุดเด่นของที่นี่ก็คือ ป่าทึบที่มีความชุ่มชื้นสูงมาก จนมอส เฟิร์น เจริญเติบโตปกคลุมอย่างหนาแน่น ตามต้นไม้ใหญ่ และห้อยระโยงระยาง จนทำให้ดูคล้ายกับต้นไม้ปีศาจอันน่ากลัวในนิยาย   โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ถ้าใครนึกออก คงพอคุ้นๆอยู่บ้าง ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Twilight Saga นั่นเอง



ที่ Hoh Rain Forest มี Trail หลายเส้นทางให้เลือกเดิน  
แต่เราเลือกเดินเฉพาะ Hall of Moss trail เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก
ระยะทางไปกลับ ประมาณ 0.8 ไมล์ แต่ใช้เวลาถ่ายภาพระหว่างทางนานมาก
เพราะมองไปทางไหนก็ดูสวยไปหมด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ประทับใจมาก 




ออกจาก Hoh Rain Forest ตอนแรกวางแผนจะไป Sol Duc Falls
แต่แล้วก็เปลี่ยนแผนไม่ได้ไป  เนื่องจากเกรงว่าจะเสียเวลามาก และตัวน้ำตกก็ไม่ได้สวยแปลกตาเท่าไรนัก

ระหว่างทางผ่าน Lake Crescent ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่
ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายสุดท้ายของเราในวันนี้ ที่ Hurricane Ridge
ซึ่งเป็นจุดชมวิวด้านบนสุดของยอดเขา กว่าจะขับมาถึงก็ใช้เวลาพอสมควร แต่วิวยิ่งใหญ่อลังการคุ้มค่ามาก


มี Trail สั้นๆไปยัง International Views
ซึ่งด้านหลังภูเขาข้างหลังนั่นคือ Vancouver Island ประเทศแคนาดา
บริเวณนี้และลานจอดรถ เราจะพบเจ้ากวางได้ทั่วไป น่ารักจริงๆเชียว




จากนั้นเราขับลงมาที่เมือง Port Angeles แวะซื้อของสดกันที่ Safeway กันก่อนเข้าที่พัก
ที่พักของเราคืนนี้ มีชื่อว่า All View Motel
เป็นที่พักชั้นเดียว จอดรถยนต์ได้ที่หน้าห้องพักเลย
เราพักห้องแบบ Family Suite 3 Queen with Kitchen


ภายในห้องพัก เมื่อเข้ามาก็จะเป็นเตียงนอน พร้อมห้องน้ำเล็กๆ อยู่ด้านใน



ทางซ้ายมือเป็นครัวเล็กๆ  พร้อมโต๊ะทานอาหาร  ด้านในสุดมีห้องนอน อีก 1 ห้อง
ที่พักสะอาดดี แต่ห้องน้ำเล็กไปนิด  ชอบตรงที่จอดรถหน้าห้องพักได้เลย




และนี่คืออาหารเย็นวันนี้
ลาบหมู ปลาชุบขนมปังทอด ไข่เจียว น้ำพริกแจ่ว ผักสดอมยิ้ม05


อ่านต่อตอนหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น