วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

oLos in U.S.A.2015 ..." ขับรถเที่ยว 8 อุทยานแห่งชาติในเวสท์อเมริกา เพลิดเพลินไปกับสีสันของดอกไม้ป่าในฤดูร้อน " ...=2=

ตอนที่แล้ว

วันที่ 10  


วันนี้เราจะเดินทางไปเที่ยว Mount Rainier National Park
Mt.Rainier เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 5 ของอเมริกา
เและเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในรัฐวอชิงตัน ซึ่งยังเป็นภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่

นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา เมื่อน้ำแข็งละลายจึงทำให้เกิดเป็นแม่น้ำหลายสาย
พื้นที่โดยรอบเป็นหุบเขา มีป่าไม้ ทุ่งดอกไม้ป่าที่สวยงาม
นักท่องเที่ยวที่อยากมาชมทุ่งดอกไม้ป่า ควรมาในช่วงฤดูร้อน ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม
ส่วนเรามาที่นี่ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน  โชคดีมาก ที่ดอกไม้เริ่มมีให้เห็นแล้ว


ผ่านด่านของอุทยานกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่อุทยานจะเป็นคุณป้าคุณลุงใจดีเสียส่วนใหญ่
ยื่น Annual Pass พร้อม Passport และขอรับเอกสารแผนที่กันด้วยนะ


เราขับรถมาในส่วนของ Paradise อากาศวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เส้นทางแรกที่เราจะเดิน คือ Nisqually Vista Trail
เป็นทางวนลูป ระยะทางไปกลับ 1.2 ไมล์ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

หลังจากก้าวขึ้นบันไดขึ้นไป Mount Rainier ก็ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า
บนยอดเขาคงปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน
สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ป่า หลากสีสัน
ช่วงที่เราไปเยือน ยังไม่ใช่ช่วงพีคที่ดอกไม้บานเต็มที่ แต่ก็ยังสวยงามขนาดนี้ 








เดินตรงตามเส้นทางเทรลไปจนสุด
จะเจอจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่
มีหิมะกำลังละลายไหลเป็นสายน้ำลงสู่ด้านล่าง

ระหว่างทางนอกจากทุ่งดอกไม้แสนสวยแล้ว ยังมีลำธารเล็กๆไหลผ่านอีกด้วย
ชื่นชมความงามจนอิ่มใจแล้ว ก็เดินวนอ้อมกลับมาจนครบลูป




จากจุดนี้เราขับรถไปยัง Henry M. Jackson Visitor Center ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน
จริงๆแล้ว บริเวณนี้มีเส้นทางเดิน Trail หลายเส้นทาง
ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Nisqually Vista Trail ที่เราเพิ่งเดินมาได้

บริเวณโดยรอบ Visitor Center บรรยากาศร่มรื่น มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน ชมวิวกันเพลินๆ
ขนาดยังไม่ได้เดินไปไหน ดอกไม้สวยๆ ก็มาให้เชยชมอยู่ตรงหน้าแล้ว





จากจุดนี้ เราเลือกเดินไปตาม Skyline Trail เพื่อไปชมน้ำตก Myrtle Fall
สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาชนิดๆ คล้ายๆ กับเส้นทางที่เราเดินมา
ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องเดินบนเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้น ห้ามออกนอกเส้นทาง
แม้บริเวณนั้นจะเป็นไหล่ทางที่ไม่มีต้นไม้ใดๆเลยก็ตาม
เพราะรอยเท้าอาจจะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์เล็กๆเหล่านั้น



 

สวยงามสมกับที่ชื่อ Paradise 




หลังจากเพลิดเพลินกับความสวยงามระหว่างทาง  ในที่สุดเราก็มาถึงตัวน้ำตก
Myrtle Fall เป็นน้ำตกที่อยู่บน Edith Creek
ซึ่งก็เป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะจากธารน้ำแข็ง บนยอดเขา Mt.Rainier นั่นเอง


ลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจาก Edith Creek ก่อนจะไหลลงเป็นน้ำตก Myrtle Fall
บริเวณนี้จะมีสะพานไม้ข้ามลำธาร ซึ่งหากใครจะเดินตาม Skyline Trail ต่อก็ใช้เส้นทางนี้
ส่วนเราขอชื่นชมความงามแค่จุดนี้  ก่อนจะเดินกลับไปยัง Visitor Center 


ก่อนกลับ เราโชคดีเจอเจ้า Hoary Marmot
หน้าตาน่ารัก แถมเล่นกล้องน่าดู แอ๊คท่าไปมา แบบไม่ตื่นกล้องเลย
นักท่องเที่ยวหลายคน ต่างก็ยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพความน่ารักของมัน 



นอกจากนั้นระหว่างทาง เรายังเจอเจ้ากวางน้อยสองตัว กำลังคลอเคลียกัน
แต่พอมันหันมาสบตามนุษย์อย่างเราๆ พวกมันก็รีบเดินหนี หายไปกับทุ่งหญ้าซะแล้ว
 






จากโซน Paradise เราออกเดินทางต่อไม่ไกล มาที่ Reflection Lake
แต่สภาพอากาศตอนนี้ซึ่งเมฆเยอะมาก ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพสะท้อนของทะเลสาบได้



จาก Reflection Lake ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
เพื่อไปยัง  Grove of the Patriarchs Trail ซึ่งอยู่ในโซนของ Ohanapecosh
บริเวณนี้จะเป็นป่า มีต้นไม้ใหญ่ และแม่น้ำ Ohanapecosh ไหลผ่าน รวมถึงมีซากต้นไม้หักโค่นตามรายทาง
ระยะทางไปกลับ ประมาณ 1.2 ไมล์ ใช้เวลาเดินเทรลประมาณ 1 ชั่วโมง





เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆ จะเจอสะพานแขวน สามารถข้ามได้ทีละคน  ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่
พอเราเดินข้ามแม่น้ำไป เดินอีกหน่อย ก็จะเจอกับต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่ปลายทาง




อันที่จริงแล้วเรามีแผนจะไปที่โซน  Sunrise ด้วย
แต่เนื่องจากระยะทางไกล และใช้เวลานาน เกรงว่าจะถึงที่พักค่ำเกินไป จึงตัดทิ้งไป

จากนั้นเราเดินทางตรงไปยังเมือง Yakima ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง
แวะซื้อของสดที่ Safeway กันก่อน ซึ่งกว่าจะถึงที่พักก็ห้าโมงเย็นแล้ว
ที่พักของเราในคืนนี้ คือ  BEST WESTERN PLUS Ahtanum Inn
เราจองห้องแบบ Suite-2 Queen Beds
ภายในเป็นห้องใหญ่ มีเตียงควีนไซส์ 2 เตียง ห้องน้ำ 1 ห้อง






ถัดไปเป็นครัว พร้อมอุปกรณ์ มีโต๊ะทานอาหาร และโซฟาเบด อยู่ด้านในสุด
ด้านหลังมีระเบียง เปิดออกไปเป็นสนามหญ้า และสระว่ายน้ำส่วนกลาง




สำหรับอาหารมื้อเย็นวันนี้ เป็นผัดหมี่โคราช ตำแตง  และข้าวเกรียบทอด อมยิ้ม05



วันที่ 11



วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องขับรถไกลถึง 7-8 ชั่วโมง เพื่อตรงไปพักที่ Glacier National Park
จากการหาข้อมูล หากขับรถตามถนนหมายเลข 2 จะวิ่งผ่านหุบเขา ซึ่งวิวทิวทัศน์สองข้างทางจะสวยมาก
แต่เราเกรงว่าจะใช้เวลาเดินทางนานเกินไป จึงเลือกใช้เส้นทางตาม GPS บอกแทน
คือวิ่งบนเส้น 90 ไปเรื่อย เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเส้น 135 และ 200 ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าถนนเส้น 28 





จากนั้นเลี้ยวซ้าย วิ่งบนถนนหมายเลข 93 เข้าสู่เมือง Karispell
เพื่อแวะซื้อของสด ที่ Super1 ก่อน ของที่นี่ราคาถูกใช้ได้
เป็นอีกแบรนด์ที่มีสาขาตามเมืองต่างๆ แต่อาจจะพบน้อยกว่า Safeway และ Costco


ซื้อของกันเรียบร้อย ออกเดินทางกันต่อ
โดยใช้ถนนหมายเลข 2 มุ่งหน้าสู่ West Glacier

 

ตอนนี้เราเริ่มเข้าสู่ Glacier National Parkแล้ว
ค่าเข้าอุทยาน คันละ $25 ยื่นบัตร Annual Pass เหมือนเดิม อย่าลืมรับเอกสารแผนที่กันด้วย




ใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึงที่พักของเรา Apgar Village Lodge ซึ่งอยู่ในบริเวณ Apgar Village
ติดกันจะมีที่พักอีกแห่งชื่อ The Village Inn
ตอนแรกจะจองที่นี่ เพราะเห็นวิว Lake Mcdonald จากห้องพักเลย แต่เต็มหมด
จนเพิ่งเห็นในแผนที่ ว่ามีที่พักติดกันอีกแห่งนี่นา เกือบได้ไปนอนที่เมือง Karispell ซะแล้ว 

เราจองห้องพักมา 2 แบบ แบบแรกเป็น Cabin with Kitchen
มีลักษณะเป็นบ้านหลัง ภายในตกแต่งด้วยไม้สน  เปิดเข้าไปมีเตียงนอน
มุมครัวเล็กๆ พร้อมโต๊ะทานอาหาร  ด้านในสุดเป็นห้องน้ำขนาดเล็ก
มีส่วนของ Shower อยู่ตรงประตูห้องน้ำ ซึ่งบริเวณอาบน้ำมืดหน่อย  เพราะไม่มีหลอดไฟ






สำหรับห้องอีกแบบ เป็น Motel Room
เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว อยู่ด้านหลังสุด ติดกับ McDonald Creek
เราจองห้องแบบสองเตียง  1 Double 1 Twin
ซึ่งเตียงจะวางอยู่ในบริเวณเดียวกัน มีหน้าต่างที่สามารถเห็นวิวของลำห้วยด้านหลังห้องได้
ห้องน้ำจะอยู่ทางด้านซ้าย ยาวตลอดแนว มีขนาดใหญ่กว่าของ Cabin

 



  


 


ด้านหลังห้องพักเป็น McDonald Creek ที่ไหลลงสู่ Lake Mcdonald
บรรยากาศดีมาก น้ำใสอีกต่างหาก  หากได้ห้องที่อยู่ตรงมุม จะได้วิวที่สวยที่สุด






เดินไปบริเวณที่ McDonald Creek ไหลสู่ทะเลสาบ จะเห็นวิว Lake Mcdonald แบบนี้
ซึ่งบริเวณริมทะเลสาบจะเป็นพื้นที่ของ The Village Inn เราได้แต่แอบดูอยู่ห่างๆ




บริเวณด้านหน้าของ Apgar Village มีทางลงทะเลสาบ
ซึ่งตรงจุดนี้จะเป็นหาดหินที่กว้าง และมีท่าเรือเล็กๆ วิวบริเวณนี้สวยกว่ามาก
ติดที่วันนี้มีเมฆเยอะไปหน่อย ทำให้แสงไม่สวยเท่าที่ควร
นักท่องเที่ยวหลายคนก็มานั่งเล่น ถ่ายรูป กันที่นี่ทั้งนั้น






หลังจากชมบรรยากาศรอบๆที่พักกันแล้ว เราก็ไปที่ Lake McDonald Lodge กันต่อ
ขับลัดเลาะเลียบทะเลสาบไปประมาณ 20 นาที ก็ถึงจุดหมาย
โรงแรมแห่งนี้อายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ตกแต่งด้วยไม้เกือบทั้งหลัง
ด้านหลังโรงแรมมีท่าเรือ บรรยากาศดี แต่คิดว่าไม่สวยเท่าวิวบริเวณที่พักของเรา




จากนั้นก็กลับมาทำอาหารเย็นที่ห้องพัก
ปิดท้ายด้วยแสงสุดท้ายของวัน ที่ริม Lake Mcdonald



วันที่ 12



วันนี้ยังคงเที่ยวภายใน Glacier National Park เหมือนเดิม
ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่วิวทิวทัศน์อันสวยงามบนถนน  Going to the sun Road
ซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 50 ไมล์ โดยเริ่มจาก West Glacier จนถึง Logan Pass ระยะทาง 38 ไมล์
และจาก Logan Pass ถึง ฝั่ง East บริเวณ St.Mary Lodge ระยะทาง 12 ไมล์
โดยปกติแล้วช่วง Logan Pass ถึงฝั่ง East จะเปิดถนนช้าที่สุด เนื่องจากต้องรอเคลียร์หิมะบนถนนให้เรียบร้อยก่อน
ส่วนใหญ่ถนนเส้นนี้จะเปิดช่วงต้นเดือน ก.ค.แต่ปีนี้มีการคาดการณ์ล่วงหน้าจากในเวบ ว่าจะเปิดวันที่ 19 มิ.ย.
ซึ่งถนนก็เปิดตรงตามเวลาที่คาดการณ์ไว้จริงๆ  ซึ่งถือว่าเราโชคดีมาก

ถนนเส้นนี้วิ่งเลียบหน้าผา หากใครที่กลัวความสูง มองลงไป ก็อาจจะเสียวนิดหน่อย
แต่ด้วยความสวยงามตลอดเส้นทาง ก็คงทำให้ลืมอาการเสียวไปได้บ้าง
ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางเป็นเทือกเขาสูงที่ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ น้ำตกที่ไหลเป็นสายลงจากยอดเขา
มันเป็นวิวที่มองแล้วมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก




Weeping Wall เกิดจากหิมะที่ละลายจากยอดเขาไหลตกลงมาผ่านผนังหิน
หากเรามาก่อนหน้านี้ในช่วงที่หิมะละลายใหม่ๆ จะเห็นเป็นสายน้ำหลายสาย






นั่งชมความสวยงามบน  Going to the sun Road มาชั่วโมงกว่า
ประมาณแปดโมงเช้า เราก็เดินทางมาถึง Logan Pass
โดยบริเวณ Visitor Center หิมะละลายใกล้หมดแล้ว
แต่ช่วงก่อนหน้านี้นั้น  ปริมาณหิมะสูงหลายเมตร จนถึงหลังคาทีเดียว



หลังจากจอดรถ เข้าห้องน้ำเรียบร้อย เราจะไปเดิน Hidden Lake Trail กัน
โดยเทรลนี้ปลายทางจะสามารถมองเห็น Hidden Lake
ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลัง Reynolds Mountain กับ Clements Mountain ได้

จากภาพด้านล่างนี้ ขวามือ คือ Reynolds Mountain
ซ้ายมือ คือ  Heavy Runner Mountain


ส่วนทางฝั่งขวามือของ Reynolds Mountain คือ  Clements Mountain
ซึ่งหน้าตาจะคล้ายกับ Reynolds Mountain มาก


หลังจากเดินเข้าเทรลมาไม่ไกล  ก็ละลานตาไปกับทุ่งดอกไม้สีเหลืองขนาดใหญ่
ดอกไม้นี้มีชื่อว่า Glacier Lily  




ระหว่างที่เรากำลังถ่ายรูปกันอยู่ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทักทาย
และบอกว่า ตรงนั้นมีฝูง Big Horn Sheep อยู่นะ ไปดูสิ
เราไม่รอช้า รีบเปลี่ยนเลนส์ และเดินไปเก็บภาพอย่างรวดเร็ว
เป็นครั้งแรกที่เจอเจ้าแกะภูเขา มันดูสง่ามาก เวลายืนอยู่บนหน้าผา




เราเดินตามเส้นทางบน Boardwalk ไปเรื่อยๆ
บางจุดทางเดินก็ยังถูกหิมะกลบอยู่ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก



ถึงจุดที่ทางเดิน หายกลืนไปกับหิมะแล้ว เลยลังเลว่าจะเดินต่อ หรือจะกลับ
สรุปว่าบางส่วนกลับ เพราะกลัวไม่ไปไหว
ส่วนเราไปต่อ แม้รองเท้าจะไม่พร้อมเดินบนหิมะ ก็เอาน่ะ ลองไปลุยดู




เดินไปทางก็เริ่มชันเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไปไม่ถึงปลายทาง
เพราะทางตรงนั้นชันมาก ถ้าเกิดลื่น ก็คงตกหน้าผาแน่ๆ
ตรงบริเวณทางซ้ายมือของภาพ ที่เห็นคนตัวเล็กๆนั่นล่ะ  เพื่อความปลอดภัย กลับดีกว่า
ได้เวลาโบกมือลา Logan Pass แล้ว

 


จาก Logan Pass เรายังคงมุ่งหน้าต่อไปตาม Going to the sun Road
ตลอดสองข้างทาง วิวทิวทัศน์ยังคงสวยงาม แต่บางช่วง บริเวณ Saint Mary Lake
มีการซ่อมถนน และ กักรถเป็นช่วงๆ ทำให้บางจุดชมวิวปิดไม่ให้รถเข้า

เราใช้เวลาประมาณ 20 นาที  ก็ถึง St.Mary Lodge ซึ่งอยู่ทางด้านฝั่ง East
ที่นี่เป็นจุดสิ้นสุดของ Going to the sun Road
บริเวณนี้มีโรงแรม ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงปั้มน้ำมันให้บริการ 






จาก St.Mary Lodge เรามุ่งหน้าไปที่ Many Glacier Hotel
โดยใช้เส้นทาง Highwayหมายเลข 89 และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 3
ระหว่างทางจะผ่าน Lake Sherburne
เราแวะจอดรถทานมื้อกลางวันกันริมทางแถวนี้    ที่นี่บรรยากาศดี วิวสวยจริงๆ


 

ในที่สุดเราก็มาถึง Many Glacier Hotel
ตั้งอยู่ริม Swiftcurrent Lake มี Mount Grinnell ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง
จากที่จอดรถ เดินมาไม่ไกล จะเห็นวิวมุมสูง ซึ่งสวยงามมาก
จนได้รับการขนานนามว่า เป็น “Switzerland of North America"



 

 






ตอนแรกเรามีแผนจะไปที่ Two Medicine Lake ต่อ แต่ตัดทิ้งไป
เพราะกว่าจะถึงที่พักคงค่ำแล้ว  เราจึงมุ่งหน้าเข้าที่พักที่เมือง Helena ทันที
ใช้เวลาเดินทางประมาณสี่ถึงห้าชั่วโมง  แวะซื้อของสดที่ Safeway กันก่อน
จึงเข้าที่พักที่ Residence Inn Helenaซึ่งเป็นโรงแรมในเครือ Marriott



ห้องพักที่จองเป็นแบบ  1 Bedroom Suite
เมื่อเข้ามาจะเป็นส่วนของครัวและโต๊ะอาหาร ด้านในเป็นโซฟาเบด








ภายในห้องนอน เป็นเตียงควีนไซส์ 2 เตียง ตกแต่งด้วยโทนสีแดง
มีห้องน้ำอยู่ภายในห้องนอน







ปิดท้ายด้วยอาหารเย็นวันนี้
เส้นหมี่ต้มยำหมูสับ จากร้านเหาโอชาอมยิ้ม15



วันที่ 13



วันนี้เราจออกเดินทางกันตั้งแต่หกโมงเช้า จากเมือง Helena รัฐ Montana
เพื่อไปเที่ยว Yellowstone National Parkที่รัฐ Wyoming
ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมงกว่า ก็ถึงแล้ว



Yellowstone National Park เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอเมริกา
ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1875 ปัจจุบันมีอายุเก่าแก่กว่า150 ปีแล้ว
ความพิเศษของที่นี่ คื อเป็นพื้นที่ที่มีน้ำพุร้อน หรือ Geysers ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากนั้นยังมีบ่อน้ำร้อน (Hot springs),บ่อโคลนเดือด (Mudpots) และไอน้ำร้อน (Fumaroles)อีกด้วย

เส้นทางท่องเที่ยวภายในเยลโล่สโตน มีลักษณะเป็นตัวเลข 8
ตามแผนที่วางไว้ เราจะเข้าทาง West Entrance
แต่เจ้า Gps กลับพามาทาง North Entrance เนื่องจากมันคิดว่าถนนยังปิดอยู่



ค่าเข้าอุทยาน คันละ $30 ซึ่งเพิ่งปรับราคาเพิ่มจาก $25 ไม่นาน
แต่จะราคาเท่าไรก็ไม่กลัว เพราะเรามีบัตร Annual Pass
ยื่นบัตร Annual Pass และขอรับเอกสารแผนที่ด้วย


แผนการเที่ยววันนี้เราจะเที่ยวลูปบนก่อน  วันพรุ่งนี้จึงไปเที่ยวลูปล่าง
จุดหมายแรกไปที่ Mammoth Hot Springs ซึ่งเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเยลโล่สโตน
เราเดินตาม Boardwalk ไปเรื่อยๆ  ซึ่งส่วนนี้เป็นบริเวณของ Lower Terrace
สองข้างทางเป็นหินสีขาวซะส่วนใหญ่ เนื่องจากมีส่วนประกอบของ แคลเซียมคาร์บอเนต
บางจุดมีลักษณะเป็นชั้น ซึ่งเกิดจากการไหลของน้ำร้อนจากใต้ผืนดิน
แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะแห้งขอด ไม่มีน้ำเหมือนเมื่อก่อน








บ่อน้ำร้อนที่เราเห็นเป็นสีสันต่างๆ เกิดจากสิ่งมีชีวิตจำพวกแบคทีเรียสายพันธุ์ต่างๆ
ซึ่งมีความสามารถในการเจริญเติบโตได้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงๆ
ในภาพคือ Minerva Terrace








ส่วนของ Upper Terrace ต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบน แต่เราไม่ได้เดินขึ้นไป เพราะอากาศร้อนมาก
หากใครไม่อยากเดินก็สามารถขับรถไปที่ Upper Terrace Loop Drive ได้เช่นกัน



เราเดินวนต่อไปเรื่อยๆ  จนครบลูป





Palette Spring


จาก Mammoth Hot Springs ขับตรงไปยัง Lamar Valley ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เราจะไปดูสัตว์ป่าที่นี่กัน ซึ่งหากต้องการชมแบบใกล้ชิด ต้องซื้อทัวร์ไป ซึ่งเปิดบริการช่วงบ่ายถึงเย็น
ดาวเด่นของที่นี่ คือ  Bison ซึ่งเป็นสัตว์ในตระกูลวัวป่า มีขนหนาปกคลุมตามร่ายกาย










เราสามารถพบเจ้าไบซันได้ทั่วไป แต่ที่ Lamar Valley พวกมันจะอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่นับร้อยตัว










การขับรถในอุทยานแห่งชาติ ต้องใช้ความเร็วตามที่กำหนด และใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เพราะอาจมีสัตว์ป่า เดินหรือวิ่งข้ามถนน  ซึ่งจะเกิดอันตรายได้

หากถนนบางช่วงมีรถติด ก็ให้เดาได้เลยว่า มีสัตว์ป่าอยู่ตรงจุดนั้นแน่นอน
อย่างที่เราเจอ เจ้าหมีกำลังแช่น้ำอยู่ในบึงข้างทาง
พอมันเห็นว่ามีคนมองมันอยู่ ก็รีบวิ่งขึ้นจากน้ำเข้าป่าทันที




จากนั้นเราขับมาในบริเวณส่วนของ Canyon
จุดแรกที่แวะ คือ Brink of the Lower Falls
อาจจะมองเห็นน้ำตกไม่ชัดเจนเท่าไรนัก



เราขับตรงมาที่ Lookout Point
จะเห็นวิวของ Lower Falls ที่ชัดเจนและสวยงามที่สุด




น้ำจากน้ำตกจะไหล่ผ่านลัดเลาะตามช่องเขาไปตามทาง
บริเวณนี้ได้ชื่อว่าเป็น Grand Canyon of the Yellowstone
ซึ่งคำว่า Yellowstone ก็น่าจะมาจากหินสีเหลืองๆตามแคนยอนเหล่านี้



มองลงไปที่ชะง่อนหินด้านล่าง เห็นรังของเจ้าเหยี่ยวด้วย


จุดต่อไปไม่ไกลนักคือ Inspiration Point
จุดนี้จะสามารถมองเห็น Upper Falls ที่อยู่ไกลๆ   แต่จะมองไม่เห็น Lower Falls



จริงๆแล้วมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็น Upper Falls ด้วย แต่เราไม่ได้ไป
ระหว่างทางเจอรถติดยาวเหยียด มุงดู Elk กันนี่เอง


จุดต่อไป  Artist Point เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก  วิวของจุดนี้จะเห็น Lower Falls
ชื่อของ Artist Point ที่หลายคนเชื่อว่ามีจิตรกรชื่อดัง Thomas Moran วาดรูปบริเวณนี้
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ภาพวาดนั้นคือ Moran Point ทางฝั่ง North rim
สำหรับชื่อของที่นี่ เชื่อว่ามาจาก ภาพถ่ายของ Frank Jay Haynes
โดยเขาได้ตีพิมพ์ผลงานลงบนไกด์บุ๊คเมื่อปี ค.ศ.1890





ปิดท้ายที่ Norris Geyser Basin ที่เราแวะก่อนเข้า West Yellowstone
จากจุดเริ่ม trail เราเดินตรงไปผ่านมิวเซียมเพื่อไปยังลูปบน
แต่เนื่องจาก Boardwalk มีการซ่อมแซมบางจุด และกลิ่นกำมะถันฉุนมาก เราจึงหยุดชมแค่ตรงนี้


จากนั้นเราขับตรงไปยังที่พักที่  West Yellowstone ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างลูปพอดี
ที่เวสต์เยลโล่สโตน มีที่พัก ร้านอาหารมากมายหลายแห่ง
ขนาดจองล่วงหน้าเกือบปี  ที่พักแบบมีครัว ส่วนใหญ่เต็มเกือบหมด  เพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวพอดี

สุดท้ายเราได้ที่พักที่ Three Bear Lodge
เราจองห้องพักแบบ  3 Queens Lodge ราคาสูงหน่อย
มีเตียงนอนสองเตียง และห้องน้ำ อยู่ด้านนอก ด้านในสุดมีห้องนอนอยู่อีกห้อง
ที่นี่ไม่มีครัว แต่มีไมโครเวฟให้พออุ่นอาหาร หรือทำอะไรง่ายๆ ทานได้














วันที่ 14



เช้านี้เราเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก และขับมาที่ Yellowstone National Park อีกครั้ง
บรรยากาศยามเช้า แสงแดดแยงตากันตลอดทาง แต่ก็มีแสงสวยๆ ให้เห็นเหมือนกัน



ควันสีขาวจากบ่อน้ำร้อนพวยพุ่ง เรียงกันเป็นแถว ราวกับมีใครมาจุดกองไฟไว้


จุดหมายแรกของวันนี้อยู่ที่ Fountain Paint Pot
ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ Lower Geyser Basin
ทันทีที่มาถึง บรรยากาศเว้งว้าง ไม่มีนักท่องเที่ยว
สภาพโดยรอบ ไม่มีอะไรน่าสนใจ  เลยต้องโบกมือลากันอย่างรวดเร็ว




จุดต่อไป เราไปที่ Firehole Lake Drive
ซึ่งเป็นเส้นทางวนรอบลูป  ระยะทางประมาณ 5 ไมล์
แต่ละจุดมีความน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งควันสีขาวที่พวยพุ่งตลอดเวลา
บางจุดก็มีน้ำพุ่งขึ้นมา บ้างก็เป็นน้ำเดือดปุดๆ

จุดนี้มีชื่อว่า Great Fountain Geyser





ส่วนหินกองนี้ คือ White Dome Geyser


แอ่งน้ำที่เห็น คือ Firehole Lake
มีควันสีขาวลอยขึ้นหนา จนทำให้มองไม่เห็นน้ำด้านล่าง



ระหว่างทางก็มีจุดให้แวะอยู่เรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะมีแต่ควันสีขาว




จาก Lower Geyser Basin เราเดินทางต่อมาที่ Midway Geyser Basin
น้ำร้อนจาก Geyser ด้านในไหลลงสู่ Firehole River บริเวณริมสะพานทางเข้า
สีส้มหรือสีสันต่างๆที่เห็น ก็มาจากแบคทีเรียที่สามารถเจริญเติบโตได้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ๆ



เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกับ จุดแรก คือ Excelsior Geyser ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก
น้ำจากที่นี่ นี่เองที่ไหลลงสู่ Firehole river ทางด้านหน้าที่เราผ่านมา
และเช่นเคยควันสีขาวลอยขึ้นจากบ่อนี้เยอะจนแทบมองไม่เห็นสีของน้ำด้านล่างเลย




เดินต่อไปยังจุดที่สอง คือ Grand Prismatic Spring
ที่นี่ถือเป็นจุดที่มีชื่อเสียงและสวยงามที่สุดในเยลโล่สโตน
และยังเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา และใหญ่เป็นอันดับสามของโลก
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 110 เมตร และมีความลึก 37 เมตร
เราผิดหวังเล็กๆ เพราะควันที่พวยพุ่งตลอดเวลา ทำให้ไม่เห็นสีสันของบ่อนี้ได้ทั้งหมด
เห็นเพียงสีส้มรอบๆบ่อเท่านั้น ซึ่งตรงกลางจะต้องเป็นสีฟ้าอมเขียว

Bacterial Mats ที่เกิดจากแบคทีเรียเจริญเติบโตเป็นเส้นสายยาวๆ










รอเท่าไร ควันก็ยังไม่จางลงสักที คงต้องไปต่อแล้ว
ขากลับ จจะเห็นว่าปริมาณควันที่ลอยขึ้นมาที่ Excelsior Geyser นั้นมากจริงๆ



แม้บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อน และมีความร้อนสะสมอยู่ใต้ดินมาก
แต่ดอกไม้เหล่านี้ ก็ยังสามารถเติบโต ผลิดอกบานได้



หากมองจากมุมสูงบนเขา จะเห็น Grand Prismatic Spring แบบนี้
แต่ตอนนี้ทางอุทยานติดป้ายห้ามเดินขึ้นเขาแล้ว เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากต้นไม้หักโค่นใส่ได้


จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Upper Geyser Basin
จุดหมายแรก คือ  Biscuit Basin ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ไม่ควรพลาด

บ่อแรกที่เราเจอคือ  Wall Pool เป็นบ่อน้ำร้อนสีฟ้า สวยมาก





บ่อถัดมาคือ Black Diamond Pool
ซึ่งถ้าดูจากสีฟ้าของน้ำในบ่อแล้ว ไม่เข้ากับชื่อบ่อสักเท่าไร


ตรงจุดที่เป็นทางน้ำไหล มีสีสันสะดุดตามาก
ทั้งสีส้มแดง หรือเหลือง ซึ่งเป็นสีที่เห็นไม่ค่อยบ่อยนัก





และมาถึงบ่อสุดท้าย Sapphire pool ซึ่งเป็นบ่อที่สวยที่สุดของที่นี่
เป็นบ่อน้ำสีฟ้าคล้ายกับบ่อแรก แต่ดูแวววาว และมีมิติมากกว่า


จากนั้นเดินทางต่อไปที่  Black Sand Basin

จุดแรกที่เจอ คือ Cliff Geyser อยู่ติดกับ Iron Spring Creek
บ่อน้ำร้อนที่นี่จะปะทุ และพุ่ง เกือบจะตลอดเวลา บางครั้งก็มีความสูงนับ 10 เมตรเลยทีเดียว












เดินตาม Boardwalk ไปทางขวา จะเจอ Sunset Lake
สีสันของบ่อนี้ ไล่สีจากสีแดงจนเป็นเหลือง ตรงกลางบ่อเป็นสีฟ้า
สีสันคล้ายๆกับที่ Grand Prismatic Spring เป็นอีกจุดที่ไม่ควรพลาด



ส่วนบ่อนี้ ชื่อว่า Green Spring


หากเดินไปทางซ้ายสุดจะเจอ Emerald pool


Upper Geyser Basin อีกแห่งคือ ที่  Old Faithful
เราขับรถมาจอดแถวๆ Old Faithful Inn
ยังไม่ทันจอดเรียบร้อยดี  ก็ได้ยินเสียงระเบิดจาก Beehive Geyser ดังขึ้นมา
Beehive Geyser เป็นน้ำพุร้อนรูปกระบอกทรงรังผึ้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
และมีแรงดันน้ำร้อนพวยพุ่งออกมาปริมาณมาก
ความสูงโดยเฉลี่ย 60 เมตร ซึ่งมากกว่าความสูงของ Old Faithful Geyser เสียอีก
แต่ที่คนนิยมไปดู Old Faithful Geyser เพราะสามารถคาดเดาเวลาได้แม่นยำกว่า


ที่เรามาที่ Old Faithful เราตั้งใจไปชม Morning Glory Pool
ซึ่งต้องเดินเทรล ระยะทางไปกลับประมาณ 2.2 ไมล์

ระหว่างจะมีบ่อน้ำร้อนอีกหลายแห่ง
อย่างเช่น Grotto Geyser ที่ควันกำลังพุ่งอย่างดุเดือด



บ่ออื่นๆ ก็มีสีสันสดใส แปลกตา ไม่แพ้กัน


ในที่สุดเราก็มาถึง Morning Glory Pool แล้ว
บ่อนี้มีรูปร่างเหมือนดอกมอร์นิ่งกลอรี่ หรือดอกผักบุ้งที่เราคุ้นเคย
ขอบบ่อมีสีเหลือง ส่วนตรงกลางมีสีเขียว ซึ่งไม่ค่อยเห็นกันเท่าไร
สวยงามคุ้มค่ากับที่เสียเวลาเดินมาตั้งไกล


ขากลับ เรายังเจอเจ้าไบซัน นอนอาบแดดอยู่ข้างทาง
สัตว์ป่าพวกนี้ต้องรักษาระยะห่างตามที่อุทยานแนะนำ
เพราะถ้ามันอารมณ์เดือดขึ้นมา จะวิ่งหนีไม่ทัน เกิดอันตรายได้





ตอนกลับมาถึงที่จอดรถ Old Faithful Geyser ก็ปะทุพอดี
แต่ถ่ายภาพไม่ทัน  เดินมาถึงก็เห็นแค่ควันจางๆ แบบนี้


จากนั้น เราดินทางไปจุดสุดท้าย ที่  West Thumb Geyser Basin
ที่นี่เป็นแห่งเดียวที่อยู่ติดกับ Yellowstone Lake
จากทางเข้า เราสามารถมองเห็นได้ทั่วบริเวณ
บางบ่อน้ำน้อยมาก  บางบ่อก็แห้งเหือดไม่มีน้ำอยู่เลย






ตามเส้นทางมีป้ายแนะนำอยู่หลายบ่อ

Led Spring บ่อนี้เห็นเป็นโพรง น้ำมีสีเขียว



Thumb Geyser สีฟ้าสดใส


หากใครไม่มีเวลามากนัก เดินตาม Boardwalk ไปทางซ้ายจนสุด
ทางซ้ายมือจะเป็น Abyss Pool มีสีฟ้าอมเขียว




ส่วนทางขวา มีชื่อว่า Black Pool เป็นบ่อสีฟ้าขนาดใหญ่ที่สวยที่สุดในเยลโล่สโตน
เดิมทีบ่อนี้มีสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ซึ่งสีนั้นมาจากการเจริญเติบโตของ Cyanobacteria
แต่ต่อมา อุณหภูมิของบ่อสูงขึ้นจน Cyanobacteria ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
บ่อนี้จึงกลายเป็นสีฟ้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา




ออกจาก West Thumb Geyser Basin เราแวะไป Yellowstone Lake แปปนึง
แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงมุ่งหน้าไป Grand Teton National Park ต่อ

ระหว่างทางเจอ Elk อีกแล้ว



Lewis Falls ก็อยู่ระหว่างเส้นทางนี้เช่นกัน
น้ำตกนี้ไหลมาจาก Lewis Lake น้ำไหลแรงมากๆ
ก่อนลอดใต้สะพานกลายเป็น Lewis River

คงได้เวลาอำลา Yellowstone National Park แล้วล่ะ




จากนั้นเราก็เข้าสู่ Grand Teton National Park
ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ Yellowstone National Park
เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีวิวทิวทัศน์ของทุ่งหญ้ากว้าง สลับกับผืนป่า และทะเลสาบที่สวยงาม

เรามาถึงที่นี่ช่วงบ่ายๆ  จุดหมายแรก คือ ที่ Fonda Point
โดยต้องขับผ่าน Lizard Creek Campground เข้ามา
ด้านหน้าที่เห็น คือ Jackson Lake ทะเลสาบบนที่สูงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา
ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,064 เมตร มีความกว้าง 11 กิโลเมตร และความยาวกว่า 24 กิโลเมตร
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ หากมาตอนเช้าอาจเห็นเงาสะท้อนในน้ำด้วย




ถัดไปไม่ไกล จะมีจุดชมวิว Jackson Lake Overlook
มีแนวเทือกเขา Teton Range เป็นฉากหลัง





เราแวะไป  Colter Bay Village General Store กันก่อน
เพื่อซื้อเนื้อสัตว์ และน้ำดื่ม    แต่ราคาสินค้าจะสูงกว่าปกติ เนื่องจากอยู่ในอุทยาน
และที่อื่นอาจจะไม่มีเนื้อสัตว์จำหน่าย ที่นี่เป็นซุปเปอร์ที่มีของหลากหลายมากกว่า


ภาพนี้จะเห็นแนวเทือกเขา  Teton Range เป็นแนวยาว
ซ้ายมือสุดที่มียอดเขาแหลมคือ Grand Teton ส่วนตรงกลางภาพ คือ Mount Moran




ในที่สุดก็ถึงที่พักของเราในวันนี้ Signal Mountain Lodge
ตั้งอยู่ริม Jackson Lake ที่เราเลือกที่นี่ เนื่องจากห้องพักมีวิวติดทะเลสาบ และมีครัวสำหรับทำอาหาร

เราจองห้องแบบ  Lake Front Retreat Lower : 2 Queens & Sofa bed
สามารถจอดรถได้ถนนหน้าบ้านพัก โดยบ้านพักแต่ละหลังมีทั้งหมดสองชั้น ชั้นละสองห้อง
เราเลือกพักที่ชั้นล่าง  แต่วิวชั้นบนจะสวยกว่า และแน่นอน ราคาก็สูงกว่าด้วย






ภายในห้อง ติดกับประตูทางเข้า มีโซฟาเบด สามารถใช้กางนอนได้
ด้านหน้ามีครัว พร้อมอุปกรณ์ และโต๊ะทานอาหาร
และที่ประทับใจก็คือ วิวที่ริมหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองเห็น Jackson Lake และ Mount Moran ได้






ห้องน้ำจะอยู่ถัดจากห้องครัว  สามารถเข้าทางห้องนอน หรือทางครัวก็ได้
ส่วนใหญ่เกือบทุกแห่งจะแยกเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าไว้ด้านนอก
ถือว่าสะดวกมาก สามารถแยกการใช้งานได้






สำหรับห้องนอน มีเตียงขนาดควีนไซส์สองเตียง
ตกแต่งแบบเรียบง่าย




ออกไปชมวิวด้านนอกกันบ้างดีกว่า  ขนาดเป็นช่วงเย็นแล้ว แต่แดดก็ยังแรงอยู่
ทางลงเนินด้านล่างเป็นพุ่มดอกไม้ป่านานาชนิด  ออกดอกกันสวยงาม
แต่อาจจะรกไปหน่อย จนยุงชุม










เดินถ่ายดอกไม้ไปเรื่อย สายตาพลันไปเจอกระรอกดิน Ground Squirrel
วิ่งเล่นอยู่แถวนั้น  ดูไปดูมา ก็คล้ายหนูบ้านเราเลยแฮะ



ปิดท้ายด้วยแสงสุดท้าย ริม Jackson Lake
ซึ่งกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ก็ราวๆ สามทุ่มครึ่งไปแล้ว







อ่านต่อตอนหน้าครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น