หลังจากกระทู้ที่แล้ว เราเดินทางออกจาก Morro Bay ตั้งแต่เช้า ท่ามกลางสภาพอากาศแบบครึ้มๆ แพลนของเราในวันนี้ค่อนข้างแน่น เริ่มจากเดินทางไปชมแมวน้ำกันที่ Piedras Blancas Rookery จากนั้นเดินทางเข้าสู่ Big Sur โดยที่ Bigsur มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าชมมากมาย ทั้ง Mcway Falls น้ำตกที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิค หรือ Bixby Bridge สะพานที่มีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก หรือ Point Lobos State Reserve ซึ่งมี Trail หลากหลายให้เราได้เดินสำรวจ กับวิวริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคอันสวยงาม จากนั้นเข้าสู่ Carmel-by-the-Sea หรือเรียกสั้นๆว่า Carmel เมืองเล็กๆสุดแสนน่ารัก ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว และขับชมวิวทิวทัศน์ ต้นไม้อันแปลกตา บนเส้นทาง 17 Miles Drive ก่อนจะเข้าสู่ที่พักที่เมือง Monterey
พร้อมออกเดินทางแล้ว งั้นไปเที่ยวกันต่อเลยครับ
แผนการเดินทางในวันนี้
จาก Morro bay เราออกเดินทางต่อโดยใช้เส้นทาง CA Highway 1 ซึ่งงแยกมาจากเส้น Highway 101 โดยเส้น Highway 1 จะวิ่งเลียบกับชายฝั่งเกือบตลอดเส้นทาง แต่จากสภาพอากาศในวันนี้ยังคงอึมครึม เจอหมอกหนาเป็นระยะแบบที่เห็นครับ ดังนั้นวิวทิวทัศน์สวยๆ ที่คาดหวังคงจะไม่ได้เห็นแน่ๆ ครับ
และที่ต้องให้ความสำคัญ ป้ายจำกัดความเร็วตามเส้นทางต่างๆ ต้องพยายามทำความเร็วอย่าให้เกินกำหนดนะครับ เพราะค่าปรับแพงกว่าบ้านเรามาก
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเราก็มาถึงทื่แรก Piedras Blancas Rookery หรือสังเกตง่ายๆ เลยจากปากทางเข้า Hearst Castle มาประมาณ 4 ไมล์ครับ ปลายทางอยู่ทางซ้ายมือ มองไกลๆ จะเห็นลานจอดกว้างๆครับ
หลังจากจอดรถเรียบร้อย ทันทีที่ลงจากรถ ยังไม่เห็นตัว ก็ได้กลิ่นก่อนเป็นอันดับแรกครับ
http://www.elephantseal.org/Rookery/where.html
บริเวณชมแมวน้ำจะถูกกั้นโดยรอบด้วยรั้ว เพื่อความปลอดภัยนะครับ และ ห้ามให้อาหารสัตว์ทุกประเภท
มองดูจากริมรั้วลงไป เจ้าแมวน้ำนอนกันเต็มหาดเลยครับ
หลับตาพริ้มเลย
บางตัวพอมันเห็นเรามอง มันก็มองกลับ
" Elephant Seal " หรือ แมวน้ำช้าง อยู่ในสกุล Mirounga ลำตัวมีขนาดใหญ่เท่าวอลรัส แต่ไม่มีเขี้ยว และจมูกไม่ย้อยเหมือนพะยูน จนบางครั้งเราก็เรียกมันว่า " ช้างน้ำ " มี 2 สปีชีส์ คือ แมวน้ำช้างซีกโลกใต้ แมวน้ำช้างซีกโลกเหนือ ขนาดตัวของเพศผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าเพศเมียถึง 3 เท่าเชียวครับ
ด้านในสุดจะมีเส้นทางเดินบนสะพานไม้ สำหรับชมแมวน้ำอย่างใกล้ชิด
แมวน้ำที่เราเห็นในช่วงเดือนเมษา จะเป็นเพศเมีย ซึ่งอยู่ในช่วงผิวหนังกำลังหลุดลอก (แอบน่ากลัว ปนสงสาร)
บนสะพานไม้ สามารถเห็นฝูงแมวน้ำได้ชัดกว่า นอนกันเต็มหาดเลยครับ ไปดูกันว่าพวกมันกำลังทำอะไรอยู่
ตัวนี้ผิวหนังกำลังหลุดลอกอยู่เลยครับ
Sleeping
Sparring
Flipping Sand
กระดึ๊บ กระดึ๊บ เร็วเข้าๆ คลื่นมาแล้ว
จากนั้นเราก็เดินทางต่อมุ่งหน้าสู่ Mcway Falls ครับ
มีการซ่อมทางเป็นระยะๆครับ เท่าที่สังเกต คนทำงานที่นี่มีแต่ผู้ใหญ่อายุมากๆ ทั้งนั้น แทบจะไม่มีวัยหนุ่มสาวทำงานเลยครับ
แม้เส้นทางวันนี้จะเลียบทะเลซะส่วนใหญ่ แต่ก็แทบมองไม่เห็นวิวอะไรเลยครับ โชคร้ายมากๆ และที่สำคัญคือ เมื่อเช้าลืมเติมน้ำมัน !! แถวนี้ก็ไม่มีปั้มน้ำมันด้วยสิ
วิ่งขึ้นลัดเลาะเขามาเรื่อยๆ จนมาเจอปั้มนี้ เด่นสะดุดตา เลยแวะเติมไว้ก่อน แต่ราคาน้ำมันปั้มนี้แพงมากกกกกกก ครับ จากที่เคยเติมปกติ $4.3/gallon ปั้มนี้ $6กว่าๆ แต่ก็ต้องเติมครับ
ดูวิวนี้สิครับ ถ้าไม่มีหมอกขาวๆ มาบัง คงจะสวยน่าดู
ลัดเลาะมาถึง Limekiln State Park ที่นี่มี trail สั้นๆให้เดินไปยังน้ำตกด้วยครับ
http://www.parks.ca.gov/?page_id=577
และเราก็วิ่งลอด The Rain Rocks Rock Shed เพิ่งเปิดใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาครับ สร้างจากคอนกรีต ด้วยงบประมาณกว่า $22 ล้าน เพื่อป้องกันหินจากด้านบนหล่นลงมา
เดี๋ยวเราก็จะเข้าสู่ Bigsur แล้วครับ โดย Big Sur ตั้งอยู่ทางตอนกลางของชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลตั้งแต่บริเวณ San Carpoforo Creek ใน San Luis Obispo ไปจนถึง Carmel River ของ Monterey
http://www.bigsurcalifornia.org/
ปลายทาง Monterey อีก 55 ไมล์ครับ ขับกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางหมอกขาว
ถึงทางเข้าน้ำตกแล้วครับ ให้สังเกตป้าย Mcway Canyon, Julia Pfeiffer Burns State Park แบบนี้ ทางขวามือ แล้วเลี้ยวเข้าไปเลยครับ
ขับตรงเข้าไปจนสุด จะเห็นมีที่จอดรถอยู่ ขับตรงเข้าไปครับ
บริเวณนี้มีห้องน้ำให้บริการ ภายนอกดูดีน่าเข้า แต่ข้างในเป็นส้วมหลุมนะครับ สภาพไม่ต้องพูดถึง
จากที่จอดรถ เดินมาบริเวณหัวโค้ง จะมีทางลงบันได เพื่อเดินไปยังน้ำตก ระยะทางไม่ไกล ประมาณ 400 เมตรครับ
สภาพทางเดิน เป็นทางราบ เดินง่ายๆสบายๆ
แวะชื่นชมดอกไม้ ระหว่างทาง
เดินมาจนสุดทางจะผ่านอุโมงค์ลอดใต้ถนน
จากนั้นก็จะเป็นทางเดินเลียบชายฝั่ง ครับ ทางเดินเป็นดินทราย มีรั้วกั้นเป็นระยะ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวัง
มองไปทางซ้าย นั่นไง เห็นแล้วครับ " Mcway Falls " เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีความสูงเพียง 80 ฟุตเท่านั้นครับ ตั้งอยู่ใน Julia Pfeiffer Burns State Park น้ำตกแห่งนี้มีแหล่งกำเนิดมาจาก Mcway Creek และเป็นน้ำตกเพียงไม่กี่แห่ง ที่ไหลตกลงมหาสมุทรเช่นนี้
เราเดินตามเส้นทางต่อไปเรื่อยๆ เผื่อจะมีมุมที่เห็นน้ำตกได้สวยกว่านี้
เราเดินกันจนมาถึงมุมนี้ซึ่งเป็นทางโค้งจุดสุดท้ายที่สามารถมองเห็นน้ำตกได้
หันไปอีกด้านจะเห็นวิวอีกฝั่งนึง สวยไม่แพ้กันเลยครับ ติดที่มีหมอกนี่ล่ะ
ได้เวลากลับแล้วครับ สรุปแล้วบรรยากาศโดยรวมสวยมากครับ ไม่อยากคิดว่าถ้าฟ้าใสแจ่มๆ จะสวยงามขนาดไหน
ออกเดินทางกันต่อครับ พอช่วงสายๆ เริ่มมีแดดออกบ้างแล้ว เป็นสัญญาณที่ดี
ตอนนี้เราเข้าสู่ Pfeiffer Big Sur State Park แล้วครับ
ระหว่างทางเจอฝูงวัว เลยแวะลงไปถ่ายรูปสักหน่อย ตอนแรกคิดว่ามันจะเดินหนีครับ ผิดคาด มันเดินเข้ามาหากล้องครับ 555 ขนฟูมากๆ น่ารัก
บริเวณนี้คือ Point Sur State Historic Park ครับ
http://www.parks.ca.gov/?page_id=565
ด้านบนเขานั้นเป็น Point Sur Lightstation สามารถเข้าชมได้ แต่ต้องซื้อทัวร์นะครับ
http://www.pointsur.org/
ขับต่อมาเรื่อยๆ ฟ้าเริ่มใสขึ้นแล้วครับ มุมนี้น้ำทะเลสีเทอควอยซ์ สวยมาก ตามริมหาดมักจะเจอพวกพืชอวบน้ำชนิดนี้เสมอๆครับ ทั้งดอกทั้งลำต้น เวลาที่มันต้องแสงแดด สวยเชียวครับ
และแล้วก็ถึง " Bixby Creek Bridge " หรือเรียกสั้นๆ ว่า Bixby Bridge สะพานแห่งนี้เปิดใช้เมื่อปี ค.ศ.1932 ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Carmel ทางตอนใต้ ประมาณ 21 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันที่นี่มากครับ เพราะเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของฝั่ง West Coast เช่นกัน รวมถึงยังเห็นบรรยากาศชายฝั่ง West Coast อันสวยงาม อีกด้วย
ถ้ามาช่วงเย็นๆ แสงน่าจะสวยครับ เพราะช่วงเช้าย้อนแสงมาก
จาก Bixby Bridge ออกเดินทางต่อไปยัง Point Lobos State Reserve ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะมาเดิน Trail ที่ Cypress Grove หรือ China Cove ของที่นี่ แต่เสียงส่วนใหญ่ขี้เกียจเดิน เลยตัดที่นี่ทิ้งไปครับ
http://www.parks.ca.gov/?page_id=571
http://pointlobos.org/general-info/maps
ป้าย XING เสิร์ชดูมาจากคำว่า Crossing หมายถึง ทางข้าม แต่มีรูปหมูป่าด้วย สงสัยจะให้ระวังหมูป่าข้ามถนน หรือเปล่า
ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เราก็มาถึง Carmel แล้วครับ ชื่อเต็มๆ คือ " Carmel-by-the-Sea"
http://www.carmelcalifornia.com/carmel-maps-and-directions.htm
http://www.carmeltreasuremap.com/images/MAP2013-side1-lg.jpg
เราขับมาที่ Ocean Avenue ซึ่งเป็นเส้นหลักของเมือง ในบริเวณนี้มีร้านค้า ที่พักต่างๆ มากมาย เราหาที่จอดริมถนนแถวๆ Devendorf Park จอดได้ฟรี 2 ชั่วโมงเหมือนกันครับ
" Devendorf Park " ตั้งอยู่บริเวณ Ocean Avenue ตัดกับ Junipero St. เป็นสวนสาธารณะกลางใจเมือง เจ้าของที่ดินคือ J. Frank Devendo
บรรยากาศร่มรื่น นอกจากจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองแล้ว ในโอกาสสำคัญๆ ยังใช้จัดงานต่างๆ ของเมืองอีกด้วยครับ
มีรูปปั้นของ J. Frank Devendo (1856-1934) สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ในสวนแห่งนี้ด้วย
สำหรับการเดินเที่ยวในตัวเมือง Carmel ถ้าอยากซึมซับบรรยากาศให้ทั่วก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็ม หรือค้างสักคืนคเพราะมีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่งด้วยกัน แต่เนื่องจากเรา มีเวลาน้อยมาก เลยขอเลือกเฉพาะที่น่าสนใจและ อยากไป ครับ
http://www.carmelcalifornia.com/carmel-walking-tour.htm
เริ่มกันที่ Palomas Home Furnishings ร้านขายเครื่องอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ซึ่งอยู่ติดกับ Devendorf Park เมื่อปี ค.ศ.1932 อาคารแห่งนี้เคยเป็นโรงงานผลิตนมแห่งแรกใน Carmel โดยนำนมจาก Carmel Valley มาบรรจุขวดภายในอาคาร ปัจจุบันป้าย Carmel Dairy ยังคงอยู่ที่ผนังนอกอาคาร
เราเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ แวะชมร้านค้าต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว
ร้านนี้น่ารักดีครับ ปลูกต้นไม้บนหลังคาด้วย เก๋มากๆ
Carmel Forecast อาคารนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ.1939 เดิมเป็น Bank of Carmel แต่ปัจจุบันเป็นร้านขายเสื้อผ้า
บรรยากาศโดยรวมของเมืองนี้ เงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน เป็นเมืองที่น่ารักอีกเมืองเลยครับ
เราเดินมาทาง Dolores St. เพื่อมาถ่ายรูปเล่นกันที่นี่ครับ " Secret Garden "
ซีเคล็ท การ์เด้นท์ ตั้งอยู่ข้างๆร้านหนังสือ Pilgrim's Way Books ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1969 จำหน่ายหนังสือหลากหลายประเภท จนเมื่อปี ค.ศ.2001 ได้ทำ Secret Garden ในพื้นที่ด้านข้างร้านหนังสือเดิม โดยจำหน่ายไม้กระถางขนาดเล็ก ของตกแต่ง และสินค้าแฮนด์เมด ต่างๆ ที่นี่ถือเป็นร้านหนังสือแห่งเดียวของ Carmel อีกด้วย
http://pilgrimsway.com
ที่นี่เปิดประมาณ 10 -11 โมงเช้า ครับ ด้านหน้าทางเข้า Secret Garden มีรั้วเหล็กสีดำเปิดอยู่ งั้นเข้าไปกันเลย
อย่างแรกที่สะดุดตา เห็นจะเป็นกำแพงสีแดงสด ที่ประดับประดาไปด้วย ของตกแต่งสวน และไม้กระถางขนาดเล็กหลากหลายชนิด บ้างก็ตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นวาง สอดแทรกตามมุมต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวก พืชอวบน้ำ หรือ Succulent ชนิดต่างๆ สีเขียวๆ ของต้นไม้ ตัดกับกำแพงสีแดงสด ทำให้พื้นที่สวนเล็กๆแห่งนี้ สวยงาม สดชื่นจริงๆครับ
ด้านในสุดจัดเป็นมุมใต้ร่มไม้ระแนง ใกล้กันมีซุ้มขนาดใหญ่ ซึ่งจำหน่ายสินค้าแฮนด์เมด ประเภทต่างๆ
จาก Secret Garden เราเดินย้อนกลับมาทางเดิม ไปยัง Ocean Avenue
ข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อมาชมที่นี่ครับ " Thomas Kinkade Garden Gallery " ที่นี่เป็นหนึ่งในหลายๆแกลลอรี่ ของ Thomas Kinkade ศิลปินนักวาดภาพที่มีชื่อเสียง
http://www.thomaskinkade.com
ภายในจัดแสดงภาพวาดตามมุมต่างๆ ภายในสวน ดูร่มรื่นทีเดียวครับ ถือว่ามาเดินเล่น ถ่ายรูปเพลินๆ
ดินออกมาเรื่อยๆ จะมาโผล่ที่ถนน Dolores St. อีกด้านหนึ่ง ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และเดินไปทางขวามือ ก็จะพบกับ Tuck Box ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1927 โดย Hugh Comstock แรกเริ่มเขาใช้ที่นี่เป็นออฟฟิศส่วนตัว กับภรรยา ภายหลังได้ขายต่อ จนในปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นร้านอาหาร ภายนอกของตัวบ้านหลังนี้มีความโดดเด่นแตกต่างจากตึกอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ลักษณะคล้ายกับบ้านในเทพนิยาย ว่าไหมครับ
http://www.tuckbox.com/
ถัดไปใกล้ๆกัน คือ El Paseo Building ตึกนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1928 ออกแบบโดย Blaine and Olson มีกลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบสเปน ด้วยสีสันและลายของกระเบื้องที่สวยงาม
http://talesfromcarmel.com/2011/07/02/el-paseo-one-of-carmels-courtyards-and-secret-passageways/
ภายในมีรูปปั้น The Greeting ออกแบบโดย Jo Mora (เสียดายมากที่ไม่ได้เดินเข้าไปชมด้านใน เพราะรีบเดินมากๆ)
cr.http://carmelwalks.com
เดินย้อนไปทาง Ocean Avenue ผ่านร้านค้าสวยๆ
เดินต่อไปยัง Mission St. เจอ Court of The Fountains ภายในมีร้านค้าร้านอาหารมากมาย
http://www.courtofthefountains.com/
จากนั้นเดินมาที่ 6th Ave เพื่อชมบ้านสวยๆ เหมือนในเทพนิยายกันต่อ หลังนี้ชื่อว่า " Obers " เป็นบ้านของ Hugh Comstock และภรรยา Mayotta สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1925
ใกล้ๆกัน คือ " The Studio " สร้างเมื่อปี ค.ศ.1927 โดย Hugh Comstock ซึ่งเขาใช้เป็นที่ทำงานครับ
เดินเลี้ยวเข้าไปที่ Santa Fe St. เจอหลังนี้ " A Storybook Cottage " สร้างเมื่อปี ค.ศ.1926 โดย Thomas M. Browne ซึ่งเป็นพ่อของ Hugh Comstock จริงๆมีอีกหลายหลัง สวยๆทั้งนั้นครับ แต่ไม่มีเวลาเดินละครับ ต้องรีบเดินทางต่อ
สถานที่ต่อไป คือ " 17 Miles Drive " ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ถนนเส้นนี้จะวิ่งผ่าน Pebble Beach ซึ่งเป็นสถานที่แข่งขันกอล์ฟชื่อดัง และ Pacific Grove
เราขับเข้ามาทาง Carmel Gate (สามารถเข้าได้หลายเส้นทาง) เสียค่าผ่านทางคันละ $10 เจ้าหน้าที่ก็จะให้แผนที่และเอกสาร ว่าจุดไหน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง
cr : http://www.roadtripusa.com/routes/pacificcoast/california/pac_17miledrive.html
บรรยากาศสองข้างทางเป็นป่าสน ต้องอาศัยดูแผนที่ประกอบไปด้วย บางช่วงก็เริ่มงง ว่าต้องไปทางไหนดี เพราะไม่ค่อยมีป้ายบอกทางเท่าไรครับ
ในที่สุดก็ถึงจุดแรกแล้วครับ " Lone Cypress "
Cypress เป็นสนชนิดหนึ่ง ที่พิเศษคือมันขึ้นอยู่บนโขดหินแกรนิตอยู่เพียงต้นเดียว สู้แดดสู้ลมมานาน มากกว่า 250 ปี ลำต้นเคยมีบาดแผลจากไฟไหม้ด้วยครับ ปัจจุบันมีการดูแลรักษา โดยใช้สายเคเบิ้ลดึงลำต้นไว้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของ West Coast อีกแห่งหนึ่งก็ว่าได้ นอกจากนั้นต้นไม้ต้นนี้ยังเป็นต้นไม้ที่ถูกถ่ายภาพ มากที่สุด ของอเมริกาเหนือด้วยครับ
และที่นี่เราเจอเจ้าถิ่นอย่าง กระรอกน้อย มาทักทาย หน้าตาน่ารัก ซุกซนมากครับ ปีนป่ายขึ้นลงหน้าผาอยู่ตลอดเวลา พอมันเห็นนักท่องเที่ยว ก็จะวิ่งมาหาทันที (มาหาของกิน) ซึ่งจริงๆเค้าห้ามให้อาหารสัตว์นะครับ
เสียเวลาถ่ายเจ้ากระรอกน้อยอยู่นาน ได้เวลาเดินทางต่อละครับ
ต้นไม้พวกนี้ บางคนอาจจะมองว่าเเหมือนต้นไม้ปีศาจ เพราะกิ่งก้าน คดงอ ไปมา ถ้าขับรถผ่านตอนกลางคืน ก็คงน่ากลัวเหมือนกัน
ผ่านสนามกอล์ฟ ของ Pebble Beach ที่มีชื่อเสียง
ขับมาเรื่อยๆ เจอวิวสวยๆริมทะเล ต้องลงไปเก็บภาพ
และแล้วก็มาถึงจุดนี้ " Bird Rock " ลักษณะเป็นภูเขาหินขนาดเล็กๆ ตั้งอยุ่ในทะเล ใกล้กับชายฝั่ง ในช่วง Spring จะมีทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จำพวก สิงโตทะเล (Sea Lion) กับ แมวน้ำ (Harbor Seal) อาศัยอยู่ และพวกสัตว์ปีก ที่อาศัยอยู่ด้านบนสุดจะเป็นพวกนกทะเล อย่าง Brandt's Cormorant กับ Western Gull
มีกล้องส่องทางไกล ไว้ให้นักท่องเที่ยวชม
หน้าตาของ Brandt's Cormorant คือ นกตัวสีดำๆ ส่วน Western Gull คือนกนางนวลสีขาวครับ
ส่วนพวกสิงโตทะเล และแมวน้ำ จะอยู่กันที่ด้านล่าง
พวกสิงโตทะเล นิสัยจะชอบเสียงดัง ขู่ตัวอื่นๆ และเวลาที่อยู่บนบก การเคลื่อนไหวจของสิงโตทะเลจะคล่องแคล่วกว่าพวกแมวน้ำ ทำให้บางทีพวกสิงโต ทะเลสามารถปีนขึ้นไปด้านบนสุด ได้ เพื่อไปนอน ครับ
ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นตัวเมีย เพราะในช่วงนี้สิงโตทะเลตัวผู้จะอพยพลงสู่ทางใต้ เพื่อผสมพันธุ์ครับ
ดารานำ เจ้ากระรอกน้อย โผล่มาอีกแล้ว มีเยอะมากๆ ครับ มาหาของกินเช่นเคย นั่งดูพวกมันจนเพลินเลยครับ
ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าเมือง Monterey
จริงๆภายใน Monterey มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจหลายแห่งเลยครับ เช่น Monterey Bay Aquarium ถ้าใครมีเวลาลองเข้าไปชมนะครับ http://www.montereybayaquarium.org/
ปิดท้ายของวัน เราพักกันที่ Super 8 Montery/Carmel ห้องพักโดยรวมถือว่าโอเค แต่ถ้าจะให้ดี ลองหาที่พักติดริมชายฝั่ง จะได้บรรยากาศมากกว่าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น