หลังจากไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของ Grand Canyon กันแล้ว วันนี้เราจะเดินทางกันต่อ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ ไปยังเมือง Page ซึ่งเป็นอีกไฮไลท์ของทริปนี้ นั่นคือ " Antelope Canyon " หุบเขาที่ได้ชื่อว่า สวยและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่รับรองว่าถ้าใครเห็น จะต้องอยากมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง นอกจากนั้นจะพาไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ " Horseshoe Bend " โค้งน้ำรูปเกือกม้า ท่ามกลางหน้าผาอันสวยงาม และไปชมวิวสวยๆ ของ " Glen Canyon Dam " และ " Wahweap Overlook " กันครับ
พร้อมแล้วก็อย่ารอช้า มาขึ้นรถกันเลยครับ
แผนการเดินทางในวันนี้
http://goo.gl/EPWl5f
จาก Desert View Drive ขับตามทางหมายเลข 64 มาเรื่อยๆ ครับ ทิวทัศน์ช่วงนี้ยังมีหุบเขารูปร่างแปลกตาให้เห็นเป็นระยะๆ
มีป้ายให้เลี้ยวแวะเข้าไปชม Scenic View ครับ ลองแวะเข้าไปดูหน่อย
สภาพอากาศวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรครับ เมฆเยอะ แถมวิวหน้าผาก็อยู่ไกลๆ
ขับออกมาที่ถนนเส้นหลักคืน บริเวณนี้มีเพิงร้านค้าของชนพื้นเมืองอินเดียน แดงด้วย ลวดลายบนตัวเพิง เป็นเอกลักษณ์มากครับ แต่ร้านยังไม่เปิดนะ สงสัยจะเช้าเกินไป
ขับมาจนเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 89 มุ่งหน้าไปทางเมือง Page ระยะทางประมาณ 80 ไมล์ครับ
วิ่งบนเส้นทางหมายเลข 89 มาเรื่อยๆ ประมาณ 30 ไมล์ ก็จะเลี้ยวขวาไปยัง เส้นทางหมายเลข 89T (เคยอ่านมาว่า ถ้าไปตรงไม่เลี้ยวขวา ทางจะปิดครับ ไม่แน่ใจว่าใช่ไหม)
ช่วงนี้ต้องทำเวลากันนิดนึงครับ เพราะเราจองทัวร์ Upper Antelope Canyon ไว้ตอน 10.30 am กลัวไปไม่ทัน
และไม่แน่ใจว่า เวลาของทางชนพื้นเมือง Navajo ซึ่งทำทัวร์ จะปรับเวลาเพิ่ม อีก 1 ชั่วโมง ตาม Mountain Time หรือเปล่า เพราะเราต้องไปให้ถึงอย่างน้อยก่อนเวลาทัวร์ครึ่งชั่วโมง
พอเห็นปล่องควัน ก็แสดงว่าเริ่มเข้าเมือง Page แล้วล่ะครับ บรรยากาศเริ่มเหมือนหนังคาวบอย เข้ามาทุกที
ในตัวเมืองก็ไม่ได้ใหญ่มากครับ
ผ่าน First Baptist Church โบสถ์รูปทรงแปลกตา
และแล้วเราก็มาถึง " Antelope Slot Canyon Tour " เดิมน่าจะเป็นปั้มน้ำมันเก่าครับ ไปจอดรถบริเวณซ้ายมือกันได้เลย
https://www.antelopeslotcanyon.com/tours/antelope.html
เรามาถึงประมาณ 9 โมงเศษๆ รีบเข้ามาในออฟฟิศ ยื่นเอกสารการจองทัวร์ให้กับเจ้าหน้าที่ พร้อมกับถามเวลา โชคดีเวลาของที่นี่ไม่ได้บวกเพิ่มครับ นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว
สำหรับทัวร์ที่เราจอง เป็นทัวร์ Upper Antelope Canyon กันครับ มีให้เลือก 2 แบบ โดยเราจองแบบ Scenic Tour รอบ 10.30 am ราคา $48/คน
ที่เลือกช่วงเวลานี้เนื่องจากเป็นช่วง Peak Hour ซึ่งถ้าโชคดีฟ้าเปิด ก็จะมีโอกาสได้เห็นลำแสง Light Beam ส่องลงมาด้านล่างอีกด้วย ซึ่งราคาแพงกว่าเวลาอื่นนิดหน่อยครับ
โดยมีเวลาเดินทัวร์ประมาณ 1ชั่วโมงครึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ห้ามนำขาตั้งกล้องเข้าไปนะครับ
กับอีกแบบเป็น Photographic Tour ราคา $80.70 มีเวลาเดินทัวร์ ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง และสามารถนำขาตั้งกล้องเข้าไปได้
ราคาทัวร์แต่ละเจ้าก็ใกล้เคียงกันครับ ตอนแรกอยากจองกับอีกบริษัท แต่ว่าเค้ามีแต่ ทัวร์ถ่ายภาพ เลยต้องหันมามองเจ้าอื่นแทน
ภายในออฟฟิศก็ยังมีของที่ระลึก โปสการ์ดต่างๆ รวมถึงขนมเครื่องดื่ม จำหน่ายด้วย ห้องน้ำก็อยู่ในออฟฟิศนี้ครับ
จัดการเรียบร้อย เหลือเวลากว่าทัวร์จะออกอีกเกือบชั่วโมง เลยมานั่งรอกันที่หน้าออฟฟิศกันก่อน
นี่เป็นหน้าตารถที่จะพาเราไปทัวร์ครับ เป็นรถกะบะ คล้ายๆกับสองแถว ตัวกะบะมีที่นั่งอยู่ตรงกลาง 2 แถวนั่งหันหลังชนกัน มีหลังคาพลาสติคคลุมด้านบนและด้านข้าง
ฝั่งตรงข้าม อีกฝั่งถนน ก็มีบริษัททัวร์เจ้าอื่น อยู่ในบริเวณนี้เช่นกัน
ก่อนเวลาออกเดินทางประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่แต่ละคัน จะเรียกรายชื่อลูกทัวร์ มาประจำที่รถ ต้องคอยฟังเรียกชื่อดีดีครับ ของเราเค้าเรียก group 6
ขึ้นรถคาดเข็มขัดกันให้เรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทาง เข็มขัดนิรภัยที่นี่ คาดรวบทีละ 3 -4 คน นะครับ มีเส้นเดียวยาวเฟื้อยเลย555
จากออฟฟิศในตัวเมือง ซิ่งมาใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงด้านหน้าทางเข้า Upper Antelope Canyon ครับ
ส่วนทางเข้า Lower Antelope Canyon ตั้งอยู่ตรงข้ามอีกฟากถนนครับ สำหรับการเข้าชม Lower Antelope Canyon ต้องเดินลงบันไดไปด้านล่าง ทางเดินภายในแคนยอน
แคบกว่าที่ Upper และที่นี่ยังเคยเกิด Flash Flood (น้ำท่วมฉับพลัน) เมื่อปี 1997 ด้วยครับ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
http://www.youtube.com/watch?v=s-QgjNvafIw
พอขับเข้ามา รถจอดเต็มเลยครับ แต่คิดว่าหากนักท่องเที่ยวมาที่จุดนี้ คงต้องเสียค่า เข้า และต้องซื้อทัวร์เหมือนกันครับ เพราะมันเป็นพื้นที่ของ Navajo
จากนั้นก็ขับตะลุยเข้าข้างใน สภาพเหมือนทะเลทรายดีดี นี่เองครับ เวิ้งว้าง ว่างเปล่ามาก ฝุ่นคลุ้งไปตลอดทาง
นั่งไปโยกไป ยังกับเล่นเฮอริเคน ลงรถไส้แทบจะหลุด
และแล้วรถก็มาจอดที่ด้านหน้าทางเข้า ยังเข้าทันทีไม่ได้นะครับ ต้องยืนรอเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นทั้งคนขับ และไกด์ ซึ่งจะเรียกให้แต่ละกรุ๊ปเข้ากันเป็นช่วงๆ ระหว่างที่รอก็ถ่ายรูป กันเป็นที่ระลึกก่อนนะครับ และก็อย่าลืมเซ็ตค่ากล้องกันให้เรียบร้อย ก่อน เนื่องจากเอาขาตั้งกล้องเข้าไม่ได้ ต้องดัน iso ให้สูงสุดเข้าไว้ และตั้งค่ารูรับแสง ความไวชัตเตอร์ให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่มี และที่สำคัญ ตั้ง WB แบบ Cloudy ครับ เพราะถ้าไม่ตั้ง โทนสีของรูปจะออกมาไม่เป็นส้มอมแดง อิอิ
วันนี้ท้องฟ้าปิด คงหมดโอกาสที่จะเห็น Light Beam ซึ่งเราจะเห็นลำแสงส่องลงมาแบบนี้ครับ
cr: http://www.lovethesepics.com Photo by Brent Pearson
พร้อมแล้วเดินเข้าด้านในกันเลย เมื่อเข้าสู่ด้านในก็จะเป็นโพรงคล้ายๆกับ ถ้ำครับ ผนังรอบด้านเป็นหินทราย ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำมานานหลายล้านปี จนเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ ที่มีลวดลายเป็นริ้วคลื่นตามร่องรอยของกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด
การเดินภายในนี้ ต้องเดินตามเจ้าหน้าที่เป็นกลุ่มๆ ห้ามเดินออกนอกกลุ่มนะครับ เพราะแต่ละกลุ่มจะมีเวลาจำกัดแต่ละจุดไม่นานนัก หากออกนอกกลุ่ม จะไปรบกวนเวลา และขวางทางกลุ่มอื่น
ระหว่างทางไกด์ก็จะชี้แต่ละจุด พร้อมถ่ายภาพให้ดูเป็นตัวอย่าง ว่ามุมนี้ มองเห็นเป็นรูปอะไร ตามแต่จินตนาการ
จุดแรกจะเห็นเป็นเปลวเทียน ครับ มองออกกันไหม
บางจุดจำชื่อไม่ได้ ว่าแต่ละจุด เค้าเรียกว่าอะไร เพราะแค่ถ่ายรูปคนก็แทบจะไม่ทันแล้วครับ
รูปนี้คล้ายๆ ภูเขา ด้านหลังเหมือนพระอาทิตย์กำลังขึ้น ครับ
รูปนี้เหมือนกระดุมไหมครับ 555 (คิดเองนะ)
รูปนี้เหมือนเทือกเขาซ้อนกันหลายๆ ชั้น
รูปนี้ เหมือนหัวใจ
เดินมาจนจุดนี้ ไกด์ก็โกยทรายขึ้นไปให้ถ่ายครับ ไม่บอกก่อนเลย ถ่ายแทบไม่ทัน
รูปนี้เหมือนอะไรน้า
มุมนี้คล้ายๆ ตาแมว
ความสวยมันจะอยู่ที่แสงที่ส่องลงมาจากด้านบนครับ ทำให้เห็นพื้นผิวของหินทรายเป็นเกลียวคลื่นไล่สีกันไป
รูปนี้ เหมือน Monument Valley ครับ ซึ่งตอนหน้าจะพาไปชมของจริง ว่าเหมือนขนาดไหน
รูปนี้เหมือน Sunrise อีกละ อิอิ
เหมือนปากคนกำลังกระซิบกระซาบกัน
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางกลับ โดยเดินออกทางเดิมครับ ก่อนกลับเจ้าหน้าที่ หรือไกด์ ก็เอ่ยปากขอทิปด้วย สำหรับ Scenic Tour นี้ถือว่าโอเค คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
แต่ถ้าเป็นทัวร์ถ่ายภาพ ส่วนตัวคิดว่าไม่คุ้มครับ เพราะที่บ้านหลายคนก็ไม่มีใครบ้าถ่ายรูปขนาดนั้น ถ้ามาคนเดียวกับเพื่อนก็น่าจะคุ้มอยู่ครับ แม้คนจะเยอะ แต่ทัวร์ถ่ายภาพเค้าจะกันพื้นที่ให้ถ่ายได้สบายๆ แบบไม่มีคนครับ
หน้าตาเจ้าหน้าที่ ที่เป็นทั้งไกด์ คนขับรถ และช่างถ่ายรูปของเรา เก่งไปหมดทุกอย่างจริงๆ
เสร็จจากทัวร์ ประมาณเที่ยงเศษ เราไปช็อปปิ้งกันต่อที่ Safeway ซึ่งอยู่ใกล้ๆ เยื้องกันบริเวณแยกฝั่งตรงข้ามกับบริษัททัวร์ครับ
จากนั้นมุ่งหน้าไปยังจุดต่อไปที่ " Glen Canyon Dam "
โดยเราจะขับข้ามสะพาน Glen Canyon Dam Bridge ไปยัง " Carl Hayden Visitor Center " ซึ่งอยู่ทางขวามือของปลายสะพานกันครับ
มีน้ำพุอยู่ด้านหน้า บรรยากาศดีมากครับ ว่าแล้วก็เดินไปถ่ายรูปสะพานกันก่อน
จาก Carl Hayden Visitor Center ขับเข้าไปถนนด้านในอีกนิด จะมีมุมที่มองเห็นสันเขื่อนด้วยครับ
ตอนแรกเข้าใจว่ารถยนต์สามารถวิ่งบนสันเขื่อนได้ด้วย เท่าที่ดูเหมือนว่าจะปิดนะครับ รถคงวิ่งบนสะพานได้อย่างเดียว
จากนั้นตรงไป " Wahweap Overlook " ครับ ตอนแรกขับเข้าไป Wahweap Marina ด้วย แต่เห็นมีด่านเก็บค่าผ่านทางรู้สึกคันละ $15 เลยวนกลับออกมาคืน
โดยลืมนึกว่าเรามี Annual Pass อยู่นี่นา มานึกภายหลัง คิดว่าสามารถใช้ Annual Pass ด้วยกันได้ครับ เพราะอยู่ใน NPS เหมือนกัน
http://www.nps.gov/glca
ขับลัดเลาะตามเส้นทางไปเรื่อยๆ จะเห็นป้าย Wahweap View ขับขึ้นเนินไปด้านบนกันเลยครับ
พอขึ้นมาด้านบนจะเป็นลานกว้าง จอดรถได้สบายๆครับ อากาศก็ดี แต่ลมแรงมากครับ
บรรยากาศโดยรอบวิวสวยใช้ได้ สามารถมองเห็นวิวของ Lake Powell ได้รอบเลยทีเดียว รวมถึง Wahweap Marina ที่เราวนรถกลับออกมาก่อนด้วย เสียดายวันนี้อากาศไม่ดี ฟ้าก็สีเทาๆ ถ้าแดดจัดๆ คงจะสวยมาก
สำหรับ Lake Powell นั้นเป็นแหล่งเก็บน้ำที่ได้จาก Glen Canyon Dam ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Glen Canyon National Recreation Area โดย Lake Powell นั้นเป็นอ่างเก็บน้ำที่สร้างด้วยมนุษย์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 (ในแง่ของปริมาณการกักเก็บน้ำ) รองจาก Lake Mead ที่เราเพิ่งขับรถผ่านตอนออกจากลาสเวกัส ครับ
ขากลับก็ยังเห็นทัศนียภาพสวยๆ ของทุ่งหญ้าสีเขียวผืนใหญ่
จาก Wahweap Overlook เราผ่านมาที่ Glen Canyon Dam Bridge อีกครั้ง
หาที่จอดข้างทาง เดินลงมาดู สันเขื่อนฝั่งนี้กันบ้าง ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรครับ หามุมถ่ายยาก
จากนั้นเราขับตรงไปต่อที่ Glen Canyon Dam Overlook จากที่จอดรถต้องเดินไปยังลานหินด้านล่าง ระยะทางไม่ไกลมากครับ
สามารถเห็น Glen Canyon Dam ได้ในมุมตรง และยังสามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำ Colorado กับแนวหน้าผาอันสวยงามอีกด้วย จุดนี้ไม่ควรพลาดนะครับ
ที่นี่มีสระว่ายน้ำด้วยนะครับ อยู่บริเวณด้านหน้าของโรงแรมเลย
เราจองห้องพักแบบ 2 Queen Beds room ใช้เรท Senior เหมือนเคย ครับ อิอิ ประหยัดไปอีกหน่อย ตอนจองก็รีเควสห้องพักชั้นล่างด้วยครับ เพื่อความสะดวกในการยกกระเป๋าสัมภาระต่างๆ
เนื่องจากมีประตูออกมาบริเวณลานจอดรถได้ด้วย สะดวกกว่า แต่ต้องไปเปิดประตูเข้าห้องก่อน จากด้านในโรงแรมนะครับ
ห้องพักก็ง่ายๆ ไม่ได้หรูหราอะไรมาก โดยรวมแล้ว สะดวกสบายดีครับ
จากที่พัก เลี้ยวซ้ายมาตามเส้นทางหมายเลข 89 ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็จะเห็นทางเลี้ยวเข้าสู่ " Horseshoe Bend Overlook Trail " ครับ
ขับเข้ามาด้านในก็จะมีที่จอดรถประมาณนี้ครับ รถเยอะเหมือนกัน ตอนแรกชั่งใจว่าจะดูตอนพระอาทิตย์ตก หรือ พระอาทิตย์ขึ้นดี
ซึ่งถ้าดูตอนพระอาทิตย์ขึ้น ต้องตื่นแต่เช้า เดินท่ามกลางความมืดไป นั่งรอเวลาอีก เลยไม่เอาดีกว่า กลัวที่บ้านจะลำบากเกินไปด้วยครับ
หลังจากเตรียมกล้องพร้อมแล้ว ก็ออกเดินกันเลยครับ เส้นทางเดินเป็นพื้นทรายตลอดเส้น ดังนั้นต้องเตรียมรองเท้าให้พร้อมนะครับ เพราะเดินบนทรายจะเดินลำบากหน่อย
หันกลับไปดูที่ลานจอดรถ เอ้า !! เดินกันเร็วๆหน่อย
ระหว่างรอที่บ้านเดินมา เก็บภาพดอกไม้ข้างทางรอไปก่อน
ทำไมดอกไม้ริมทางบ้านเรา ไม่สวยแบบนี้มั่งเนอะ
พอเดินไปถึงบนเนิน จะมีศาลาให้นั่งพัก แต่ถ้าไม่เหนื่อย ก็เดินต่อได้เลย เพราะหลังจากเนิน ก็จะเป็นทางลาดลงแล้วครับ
เส้นทางเดินไม่มีป้ายนำทางนะครับ อาศัยเดินตามทางที่เค้าเดินกัน
สำหรับ Horseshoe Bend นั้นเป็นโค้งน้ำรูปเกือกม้า โดยมีแม่น้ำ Colorado ไหลผ่านกลางหน้าผาอันสูงชัน
โดยนักท่องเที่ยวนิยมไปที่ริมหน้าผาเพื่อชมวิวโค้งน้ำเบื้องล่าง หลายคนไม่ กลัวความสูง ก็จะไปยืนแอ๊คชั่น โพสท่า ต่างๆ ซึ่งอันตรายและเสี่ยงมากครับ
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก เพราะหินบริเวณหน้าผานั้นไม่ได้แข็งแรงตลอดไป มันก็มีโอกาสผุกร่อนได้ตามกาลเวลา
ใกล้ถึงแล้วครับ อีกนิดเดียว หันกลับไปดูอีกที นั่นศาลาทีเราขึ้นเนินมาแล้วเจอตอนแรกครับ
ในที่สุดเราก็มาถึงครับ นักท่องเที่ยว ช่างภาพหลายคนก็ปักหลักกางขาตั้งกันที่ริมหน้าผา เพื่อรอแสงสุดท้ายของวันนี้ ผมก็พยายามหามุมตรงกลาง เพื่อเก็บภาพโค้งน้ำให้ได้หมด
ระหว่างที่ถ่ายรูปกันอยู่ ข้างๆ ก็มีนักท่องเที่ยวหลายคน มานั่งห้อยขากันที่ก้อนหิน ริมหน้าผา เห็นแล้วหวาดเสียวมากๆ
และยิ่งไปกว่านั้น มีนักท่องเที่ยวเอเชีย น่าจะคนญี่ปุ่น กำลังเดินไปที่ริมผา ซึ่งบางจุดจะมีกองทรายบนหินด้วยครับ ตัวหินริมหน้าผาก็ไม่ได้พื้นราบเรียบ ออกจะเอียงลาดเทลงไปที่หน้าผา จังหวะที่เค้ากำลังเดินบนทรายนั้น เกิดไถลเซครับ โอ้วว เสียวแทนเลย แต่เค้ายังประคองตัวได้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกหน้าผา แน่ๆ ครับ ขนาดผมยืนถ่ายไม่ได้ชิดหน้าผามาก ที่บ้านยังคอยดึงเอวกางเกงไว้อยู่ข้างหลังเลยครับ ใครมองก็แอบขำ แต่ก็ระวังไว้ปลอดภัยกว่านะครับ
Wow !! มันเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติจริงๆครับ คุ้มจริงๆ ที่ลงทุนซื้อเลนส์ไวด์ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่งั้นเก็บไม่หมดครับ
ใช้เวลาชื่นชมความงาม กว่า 1 ชั่วโมง รอจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ลานจอดรถครับ ใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาทีได้ครับ เป็นอีกวันที่รู้สึกอิ่มเอมคุ้มค่ามากครับ สำหรับสถานที่เที่ยวต่างๆ ในเมือง Page แห่งนี้
สำหรับเมือง Page ขอจบไว้แค่นี้ครับ รีวิวหน้า จะพาไปตะลุย Top 5 National Park ของรัฐ Utah กันครับ อย่าพลาดชม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น