สวัสดีครับ
หากพูดถึงประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก อย่าง " สหรัฐอเมริกา " คงไม่มีใครไม่รู้จัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะรู้สึกเฉยๆ เวลามีใครบอกว่าจะไปเที่ยวอเมริกา เพราะในความคิดของผม อเมริกาดูเหมือนจะมีแต่เมืองใหญ่ที่ดูวุ่นวาย ไม่เหมาะกับสไตล์การเที่ยวของผมสักเท่าไร แต่ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า นอกจากเมืองใหญ่ที่มีความเจริญแล้ว อีกมุมนึงนั้น อเมริกาก็ยังมีธรรมชาติที่สวยงาม แปลกตา ไม่แพ้กัน เช่น ความยิ่งใหญ่ของ Grand Canyon ที่ธรรมชาติสรรสร้างนั้น เป็นเป้าหมายของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ที่อยากจะมาสัมผัส ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่อยากจะโอกาสสักครั้งที่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
เนื่องจากประเทศอเมริกานั้น มีขนาดพื้นที่ใหญ่มาก จึงต้องตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวกันแถบไหน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมกัน ได้แก่ ฝั่งตะวันตก และ ฝั่งตะวันออก แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ทางฝั่งตะวันตกนั้น มักจะได้รับความนิยมมากกว่า เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังมากมาย ที่หลายคนต้องเคยได้ยิน หรือผ่านตา กันมาบ้าง อย่าง Los Angeles, San Francisco, Las Vegas และ Grand Canyon
ขั้นตอนแรก หากจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่อเมริกา อันดับแรกก็คือ ต้องมี " วีซ่าท่องเที่ยว " ก่อน เชื่อ ว่าหลายคนที่กำลังหาข้อมูลเตรียมทำวีซ่า จะต้องเกิดความกังวล กับคำถามต่างๆ มากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว ว่าวีซ่าจะผ่านไหม หลักฐานเท่านี้พอหรือเปล่า เขาจะสัมภาษณ์อะไร เพราะมีหลายคนมาแชร์ประสบการณ์ว่าไม่ผ่านวีซ่าอยู่เรื่อยๆ ซึ่งผมก็มีความ รู้สึกเหมือนหลายๆคน เพราะถ้าไม่ผ่าน อย่างแรกคือ เสียดายเงินค่าวีซ่าตั้งเกือบ 5พันบาท รวมถึงต้องเสียเวลาเตรียมเอกสาร ไปสัมภาษณ์ใหม่อีก แต่โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ได้วีซ่า 10 ปีมานอนกอดสมใจ
สำหรับขั้นตอนการทำวีซ่าผมได้เคยทำขั้นตอนและแชร์ประสบการณ์ไว้แล้ว ซึ่ง ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงการทำวีซ่าแบบใหม่ แตกต่างจากแบบเดิมเล็กน้อย คือไม่ต้องซื้อพิน เพื่อนัดสัมภาษณ์ และชำระเงินค่าวีซ่าที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาแทนแบบเดิม ซึ่งชำระค่าวีซ่าที่ที่ทำการไปรษณีย์
ขั้นตอนการสมัคร VISA U.S.A.
http://www.ustraveldocs.com/th_th/th-niv-visaapply.asp
ตัวอย่างการกรอก DS-160 (B2)
http://goo.gl/G9TYTG
ประสบการณ์สัมภาษณ์ วีซ่า อเมริกา
http://pantip.com/topic/30362909
ตั๋วเครื่องบิน
สายการบินที่เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา มีมากมายหลายสายการบิน สายการบินที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Korean Air,Eva, Delta, Cathay Pacific, ANA, China Southern Airlines ซึ่งแต่ละสายการบินจะมีปัจจัยต่างๆ ให้พิจารณา ทั้งระยะเวลาทรานสิท การบริการ ราคาที่แตกต่างกันไป บางครั้งหากวันเดินทางเป็นวันธรรมดา ราคาจะถูกกว่าวันเสาร์วันอาทิตย์ รวมถึงโปรโมชั่นราคาพิเศษจากสายการบินต่างๆ ต้องคอยเช็คราคาอยู่เรื่อยๆครับ
สุดท้ายแล้วผมเลือกสายการบิน " Cathay Pacific " ราคาโอเคประมาณ 35,xxx บาท แวะทรานสิทที่ฮ่องกงประมาณ 1 ชม.ครับ
ขั้นตอนการเช็คอินออนไลน์ของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟึค
http://goo.gl/2VLUCz
ชมรีวิวการเดินทางกับสายการบิน Cathay Pacific ได้ที่นี่ครับ
http://pantip.com/topic/32072135
ที่พัก
หลังจากได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการหาที่พัก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมชอบที่สุด ในบรรดาขั้นตอนการเตรียมตัวท่องเที่ยวก็ว่าได้รับ รู้สึกสนุกที่จะได้หาห้องพักสวยๆ ทำเลดี ราคาไม่แพง ถ้าอยากได้ที่พักดีดี ไม่ผิดหวัง พยายามหาข้อมูลฟีดแบคของนักท่องเที่ยวจาก Tripadvisor หรือตามเวบจองโรงแรมอย่าง Booking.com เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย บางครั้งอันดับไม่สูง ก็อาจจะถูกใจเราก็ได้ครับ เพราะแต่ละคนอาจจะมีเรื่องที่ถูกใจ/ไม่ถูกใจ ไม่เหมือนกัน โดยโรงแรมที่ผมชอบจะอยู่ในเครือ WYNDHAM เช่น Days Inn, Super 8 ,Travelodge และอีกมากมาย ซึ่งโรงแรมเหล่านี้จะตั้งอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ห้องพักได้มาตรฐาน ราคาไม่แพง และมีบริการที่จอดรถฟรี
อีกอย่างที่ชอบคือ ที่อเมริกาจะมี ห้องพัก แบบ 2 Queen Beds Room ซึ่งมีเตียงควีน 2 เตียง สามารถพักได้ 4 คน รวมถึง ห้องพักแบบ 3 Queen Beds หรือพวก Family Suites ก็จะประหยัดค่าห้องได้มากครับ รวมถึง ยังมีเรท Senior ราคาพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ 60+ ให้อีกด้วย แต่อย่าลืมว่าราคาค่าห้องพัก ยังไม่รวม Tax นะครับ (บางแห่งอาจจะมี City Tax เพิ่มอีก) หากเป็นโรงแรมทั่วไปที่ไม่ใช่เชน ก็ควรตรวจสอบราคาจากหน้าเวบก่อน และลองส่งอีเมลไปสอบถามราคา /ส่วนลด กับทางที่พักอีกครั้ง ส่วนใหญ่จะได้ราคาพิเศษครับ
เมื่อเลือกที่พักได้แล้ว ก็ควรจองล่วงหน้าหลายๆเดือนหน่อยครับ ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่ราคาจะถูกกว่าการจองใกล้วันเข้าพัก บางแห่งต้องจองก่อนเป็น ปี โดยเฉพาะที่พักยอดฮิตใน National Park ต่างๆ อย่างที่ Grand Canyon ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีครับ
http://www.wyndham.com/
รถเช่า
หากเดินทางแบบ Road Trip ขับรถเที่ยวแวะตามเมืองต่างๆ ก็ต้องพึ่งพารถเช่าครับ ซึ่งมีให้บริการหลายราย ทั้งบริษัทเช่ารถยักษ์ใหญ่ อย่าง Avis, Thrifty, Enterprise หรือ บริษัทเช่ารถท้องถิ่นของอเมริกาเอง อย่าง Midway
http://www.avis.com/car-rental/html/landing/lax-rental.html
http://www.thrifty.com/local/index.aspx?LocationCode=LAX
http://www.enterprise.com
http://www.midwaycarrental.com
สำหรับ GPS เป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ เว้นแต่จะชำนาญเส้นทางแล้ว รวมถึงประกันภัยที่ครอบคลุมความเสียหายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง
ช่วงก่อนเดินทาง ผมลองหาข้อมูลรถเช่า เป็นรถแวน ประมาณ 7 ที่นั่ง ราคาประมาณพันกว่าเหรียญครับ
ส่วนของ Midway ราคาประมาณ 2,1xx เหรียญ
ส่วนผมรอบนี้ไม่ได้เช่ารถครับ ใช้รถของเพื่อนพี่แทนครับ
สำหรับการเช่ารถขับในอเมริกา เท่าที่หาข้อมูลมา บางรัฐก็สามารถใช้ใบขับขี่รถยนต์ Smart Card ของไทยได้ แต่บางรัฐต้องใช้ใบขับขี่สากลร่วมด้วย ทางที่ดีควรทำใบขับขี่สากลไปด้วยเลย เพื่อความสบายใจครับ
ใบขับขี่สากล
International driving license สามารถติดต่อขอทำ ได้ที่กรมการขนส่งทางบก เขต จตุจักร อาคาร 4 ชั้น 2 สำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัด ทำที่ สำนักงานขนส่งจังหวัดนั้นๆ ครับ
เอกสารที่ใช้
1. รูปถ่าย1.5x2 นิ้ว จำนวน 2 รูป (ใส่เสื้อสุภาพ )
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาบัตรประชาชน 1 ชุด
4. ใบขับขี่รถยนต์ พร้อมสำเนา 1 ชุด
5. Passport พร้อมสำเนา 1 ชุด
6. ค่าธรรมเนียม 505 บาท
7. ถ้าไม่ได้ไปด้วยตัวเอง ต้องเตรียม ใบมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ 10 บาท และบัตรประชาชนพร้อมสำเนาของผู้รับมอบอำนาจ
สกุลเงิน
สกุลเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ดอลลาร์สหรัฐ มีตัวย่อว่า USD และใช้สัญลักษณ์ $ โดย 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 100 เซนต์ (cents) ธนบัตร มีทั้งชนิดละ 1, 2, 5, 10, 20, 50 และ 100 ดอลล่าร์ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีขนาด และสีเดียวกัน ต่างกันตรงรูปประธานาธิบดี และมูลค่า ส่วนเงินเหรียญ มีทั้ง เหรียญ 2 ดอลลาร์ , 1 ดอลลาร์, 50 เซนต์ (Half Dollar), 25 เซนต์ (Quarter), 10 เซนต์ (Dime), 5 เซนต์ (Nickel) และ 1 เซนต์ (Penny) เวลาใช้เหรียญจ่ายอาจจะงงนิดหน่อยครับ มีหลายแบบมาก
เวลา
ทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาจะอ้างอิงเวลาจาก Pacific Standard Time ซึ่ง ช้ากว่าประเทศไทย 15 ชั่วโมงครับ ส่วนรัฐ Utah จะอ้างอิงเวลาจาก Mountain Standard Time ซึ่ง ช้ากว่าประเทศไทย 14 ชั่วโมง คือ หากเวลาที่ประเทศไทย คือ บ่ายสอง 2:00 pm เวลาที่ LA คือ 5ทุ่ม 11:00 pm ส่วนเวลาที่ Utah จะเป็นเวลา เที่ยงคืน 12:00 am
โดยปกติแล้วในช่วงระหว่างวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน จนถึงวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม * เวลาจะต่างจากเมืองไทยน้อยลง 1 ช.ม. คือ หากเวลาที่ประเทศไทย คือ บ่ายสอง 2:00 pm เวลาที่ LA จะเป็นเวลา เที่ยงคืน 12:00 am ส่วนเวลาที่ Utah จะเป็นเวลา ตี 1 01.00 am
*กรุณาตรวจสอบอีกครั้ง เพราะปีนี้ทางการประกาศเริ่มต้นวันอาทิตย์ ที่ 9 มีนาคม ถึง วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน ครับ
http://www.timeanddate.com/time/zone/usa/los-angeles
แสตมป์
สำหรับคนที่อยากส่ง Postcard หาเพื่อนที่เมืองไทย หรือที่ประเทศอื่นๆ สามารถหาซื้อแสตมป์ Global Forever First-Class Mail International stamp ราคาดวงละ $1.10 มีจำหน่ายตามที่ทำการไปรษณีย์ทั่วไป หรือตามร้านขายของที่ระลึก (แต่ราคาก็จะแพงหน่อยครับ) ส่วนโปสการ์ดสวยๆ ราคาไม่แพง ประมาณ 4 แผ่น /$1 หาซื้อได้ตาม Visitor Center และร้านขายของที่ระลึกทั่วไปครับ
หากต้องการส่งจดหมายอื่นๆ สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้ที่นี่ครับ http://ircalc.usps.gov/Default.aspx
ปลั๊กไฟ
เป็นปลั๊กแบน สองขา ลักษณะเหมือนกับที่ชาร์จไอโฟน ไอแพด ครับ ควรเตรียม adapter ไปด้วยครับ
อาหาร
เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่นะครับ ถ้าไปเที่ยวแล้วอาหารไม่ถูกปาก ก็คงไม่สนุกแน่ๆ ทริปนี้เป็น Road Trip ที่เอื้อต่อการทำอาหาร และที่บ้านชอบทานอาหารไทยมากกว่า จึงเน้นทำอาหารง่ายๆ ทานเองครับ ดังนั้นก่อนเดินทาง จึงต้องเตรียมเครื่องปรุง อุปกรณ์ต่างๆ ไปด้วย ซึ่งการนำอาหารเข้าอเมริกานั้น มีข้อห้ามหลายอย่าง ส่วนใหญ่ห้ามนำอาหารสด ทั้งผักสด เนื้อสัตว์ต่างๆเข้าประเทศ รวมถึงพวกอาหารแห้งที่มีส่วนประกอบหรือ กลิ่นของเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับ ผงปรุงรสหมู ไม่สามารถนำเข้าได้ แต่ถ้าเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสทะเล อย่าง รสต้มยำกุ้ง รสหอยลายผัดฉ่า เอาเข้าได้ครับ
https://help.cbp.gov/app/answers/detail/a_id/82/kw/how%20to%20declare%20food/session/L3RpbWUvMTM5OTI3Mzk5NS9zaWQvNU1TM1h0VGw%3D
ตัวอย่างอาหารที่นำเข้าไป ได้แก่ เครื่องปรุงรสต่างๆ ซอสปรุงรส น้ำปลา ปลาทอด กล้วยฉาบ เส้นหมี่แห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสทะเล
ส่วนอาหารสด สามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ทั่วไปครับ อาทิ Safeway, Walmart, Costco (ต้องมีบัตรสมาชิก), Raley's ซึ่งจะตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ บางเมืองอย่าง Irvine, CA จะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตของเกาหลี หรือของจีน ก็จะมีพวกวัตถุดิบ ผักสดที่ใกล้เคียงกับบ้านเราครับ
แผนการท่องเที่ยว
เป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ ผมก็หาข้อมูลจากเพื่อนๆ ที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้ ทั้ง Coffee Blended, ha-meow, Little Blue Penguin ,ป้าฟู, AdrenalineRush และขอคำปรึกษาจากอีกหลายๆท่าน อาจจะเอ่ยนามไม่หมด ต้องขอบคุณมากๆเลยครับ
สำหรับแผนการท่องเที่ยว ก็ควรระบุตำแหน่งพิกัด GPS ให้ชัดเจน เพื่อตัดปัญหาในการกรอกชื่อ หรือที่อยู่ของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ เพราะบางครั้ง gps อาจจะหาไม่พบ ทำให้เสียเวลาในการเดินทางมากครับ แต่บางสถานที่อาจจะไปไม่ถึงจุดที่เราต้องการครับ เพราะเครื่องอาจจะยังไม่รู้จัก หรือเป็นทางถนนส่วนตัว ยังไงก็ควรเตรียม capture แผนที่ไว้เปิดดู รวมถึงเตรียมแผนสำรองไว้ด้วยก็ดีครับ
วิธีในการระบุพิกัด
1.เปิดแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวใน https://maps.google.com/
2.ใช้เม้าส์เลื่อนไปยังจุดหรือสถานที่ที่ต้องการ แล้วคลิกขวา เลือก "นี่คืออะไร " เราจะได้พิกัดเป็นตัวเลข 2 ตัว
3.หาก GPS บางเครื่องไม่รองรับพิกัด 2 ตัวแบบนี้ ให้นำตัวเลข 2 ตัว ไปแปลง ในเวบ http://www.gpsvisualizer.com/calculators โดยใส่ในช่อง Input แล้วกด convert ก็จะได้ตัวเลขพิกัดแบบใหม่ครับ
พิกัดที่แปลงค่าแล้วมี 3 แบบ สำหรับเครื่อง GPS ที่ผมใช้เป็นแบบที่ 3 Deg° Min' Sec" จะสังเกตว่ามีจุดทศนิยมด้วย
หาก GPS ไม่ให้ใส่จุดทศนิยม ให้ปัดเศษขึ้นหรือปัดลง
เช่น N33°42'17.712" W117°51'14.53" ปัดเป็น N33°42'18" W117°51'15"
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและเครื่อง GPS แต่ละยี่ห้อครับ
ตัวอย่างแผนท่องเที่ยว U.S. West Coast Road Trip 20 วัน
ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไปไม่ครบตามที่แพลนไว้ ตัดไปหลายอย่าง ไม่ใช่เวลาไม่พอนะครับ แต่คนในทริปขี้เกียจ555 ใครอยากเอาไปดัดแปลงหรือลอกเลียนแบบก็ไม่ว่าครับ
ตามมาชม ชมแล้วชมอีกก็ไม่เบื่อ ไม่ใช่หน้าม้า แต่มาด้วยใจและความชอบส่วนตัว อิอิ
ตอบลบ555 ขอบคุณครับ
ลบ