วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

OLOS in IRELAND, i'LL BE THERE [Day2] " Oh! My First Kiss @ Blarney Castle, Cork "

สวัสดีครับ

หลัง จากชมจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ในวันแรกไปแล้ว วันนี้ หลังจากที่เราทานมื้อเช้า ที่ Fern Hill กันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อครับ

ตอนแรกตามแผน เราจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นทันที  แต่ คุณ Anne เจ้าบ้าน B&B ที่เราพัก แนะนำให้พวกเราไปที่  BUNMAHON กันก่อน

เพราะ วิวที่นั่นสวยงาม ไม่น่าพลาด  แถมอยู่ไม่ไกลมากด้วยครับ   เมื่อได้รับคำแนะนำ แล้ว เราก็ตัดสินใจไป ตามคำบอก แม้จะผิดแผน เลยเวลาก็ตามที

พร้อมเดินทางไปด้วยกันกับวันที่สอง หรือยังครับ  ไปด้วยกันเลยนะครับ



plan การเดินทางของวันนี้


ตามป้าย จากที่พัก  มุ่งไปทาง BUNMAHON ไม่ไกลมากครับ


อากาศยามสาย ประมาณ 9 โมงกว่าๆ อากาศดี มาก


ตอนนี้เข้าสู่เมือง Annestown แล้ว  ตลอดทางจะเจอบ้านเป็นระยะ ๆ แถมสีสันสดใสจริงๆ


ช่วงนี้เข้าใกล้ทะเลแล้ว  ไอน้ำคงเยอะมาก ทำให้มองเห็นเป็นภาพลางๆ


ะหว่างทางเห็นหินก้อนนี้ ถูกระบายสีซะสวยเลย  เหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง


ผ่านที่ราบกว้างใหญ่ 


พอดีมีที่จอดพอดี เลยขอแวะถ่ายรูปสักหน่อย


มองไปอีกด้านก็วิวสวยไม่แพ้กัน


panorama ซักหน่อย เห็นอะไรไหม


มองไปด้านล่างตรงนั้น มีทุ่งดอกไม้สีเหลืองๆ สวยเชียวครับ เดี๋ยวเราไปดูกันว่าดอกอะไร


เป็นทุ่งมัสตาร์ท สีเหลืองสด  สวยจริงๆ ใช้เวลาถ่ายรูปนานพอตัว 

และคิดว่า ถ้าเดินทางต่อคงไม่ทันแน่ เลยกลับไปเส้นทางเดิม เพื่อเดินทางตามแผนต่อไปดีกว่า



การถ่ายรูปผ่านกระจก ระหว่างที่รถวิ่งไปด้วย  นี่ยากเหมือนกันนะครับ

ใช้สปีดซัก 400-500  ถ้าขับไม่เกิน 100 km ก็น่าจะคมชัด



เรามุ่งหน้าไปทาง Waterford อีกครั้ง


เจอวัวอีกแล้ว ขนปุยเชียว น่ากอด


อันนี้เป็นบ้านสไตล์ไอริช  คล้ายๆ มุงจากบ้านเรา

เรียกว่า " Thatched  Cottages "



ผ่านตัวเมืองอีกแล้ว ป้ายเขียวๆ นี่เป็นไปรษณีย์นะครับ  ที่ไอร์แลนด์ ใช้สีเขียวสังเกตง่ายมากเลยครับ

รถส่งไปรษณีย์ก็สีเขียวเช่นกัน



เวลาที่ผ่านวงเวียน ต้องมองดีดีว่า แยกไหนที่เราต้องเลี้ยว เพราะขับเพลิน ระวังจะเลี้ยวผิด นะครับ 

ที่นี่นอกเมือง แทบไม่มีไฟแดงเลยครับ จะใช้วงเวียนแทนสัญญาณ ไฟเขียวไฟแดง



ระหว่างทางจะเห็นคนขี่จักรยานกันบ่อยๆ  คนที่นี่เค้ารักสุขภาพกันดีจริงๆ ทั้งออกมาเดิน มาวิ่ง

แม้กระทั่งตอนเที่ยงๆ เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนเหมือนบ้านเรา



เรามุ่งหน้าไปทางซ้าย ครับ เพราะจุดหมายเราอยู่ที่เมือง  Cork


YIELD ก็คือ ป้ายให้ทาง นั่นเอง  แต่ละประเทศก็เขียนต่างกันไปนะครับ

ถ้าที่นิวซีแลนด์ จะเป็น Give Way



เจอฝูงวัวอีกแล้วครับ บางตัวก็นอน บางตัวก็กำลังกินหญ้า

เวลาขับแล้วเจอพวกวัวหรือแกะ นี่ กดชัตเตอร์กันไม่ยั้งเลยครับ
ใช้ได้ไม่ได้อีกเรื่องนึง


เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง   เท่าที่ดูมา ถนนที่ไอร์แลนด์ ถือว่าดีทีเดียวครับ รวมถึงพวกสาธารณูปโภค พื้นฐานต่างๆ

ขนาดว่าประชากรไม่มากเท่าไรนะเนี่ย



เห็นไหมครับ ว่าถนนสวยจริงๆ ด้านข้างๆนั้น ก็เป็นทุ่งหญ้าสีทองที่เราชอบอีกด้วย

ลำต้นตรงมากๆ เวลาอยู่รวมกันแล้ว สวยสุดๆเลย



ผ่านวิวนี้ กดชัตเตอร์ แทบไม่ทันเลยครับ เสียดายไม่ได้แวะ  วิวเขียวๆ พร้อมทะเลสาปเล็กๆ

กับเบื้องหน้าเป็นต้นหญ้าสีทอง  สวยจริงๆ



เสียค่าผ่านทางอีกแล้วครับ  3.2 euro


ผ่านสะพานด้วยครับ นานๆ จะมีสะพานซักที  สวยดีจัง


และแล้วเราก็เข้าสู่ Kilkenny แล้วครับhttp://kilkennytourism.kilkenny.ie/eng/


อีก 43 กิโลเมตรเท่านั้น  ไกลเหมือนกันนะเนี่ย กว่าจะไปแต่ละเมือง


ชมวิวระหว่างทางกันไปพลางๆ ก่อน


ทางหลวงส่วนใหญ่จะมีไหล่ทางเล็กๆ สามารถจอดข้างทางได้

แต่ทางให้ดีจอดตามป้าย P ดีกว่าครับ ซึ่งมีเป็นระยะ



เจอทุ่งมัสตาร์ท อีกแล้ว


ใกล้ถึงคิลเคนนี่ย์ แล้วครับ เห็นต้นไม้ฟอร์มแบบนี้ ถ้าตอนกลางคืน คงหลอนมาก


บนต้นไม้มีรังนกด้วยครับ  น่าจะเป็นอีกา เพราะตัวดำๆ ปากแหลมๆ 

ที่นี่จะพบอีกาบินว่อนทั่วไป บางทีนึกจะโฉบลงถนนก็โฉบ เห็นรถเหยียบหลายตัวเหมือนกัน



วันนี้วันอาทิตย์ ผ่านโบสถ์  เห็นรถจอดเต็มเลยครับ  สงสัยทำพิธีทางศาสนากันอยู่แน่ๆ

ด้านหลังก็เป็นสุสานด้วย



ผ่านโชว์รูมรถยนต์ด้วยครับ  ที่ไอร์แลนด์ มีแต่รถรุ่นใหม่ๆ ขับให้เห็นเต็มไปหมด

ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ ยุโรป ซะมากกว่า อย่าง เรโนลด์ โฟล์คสวาเก้น สโกด้า   พวกโตโยต้า ฮอนด้าก็มีบ้างแต่น้อย



เริ่มเข้าสู่ เมือง Kilkenny แล้วครับ  เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่น่าไปแวะเยือนที่สุด อีกเมืองนึงของไอร์แลนด์

เพราะ เป็นเมืองที่มีทั้งประวัติศาสตร์ยุคกลาง ที่น่าสนใจ รวมทั้ง งานฝีมือท้องถิ่นต่างๆ  ปราสาทที่สวยงาม ภัตตาคารร้านอาหาร มีหมดครับ
http://www.kilkennytourism.ie/


เมืองนี้ยังเป็นสถานที่จัด เทศกาลตลกชั้นยอดของโลกด้วยครับ " The Cat Laughs Comedy Festival "
ซึ่งรวมความบันเทิงจากทั่วโลกมาไว้ในงานนี้   ตอนนี้เริ่มเห็นยอดปราสาทแล้ว ตรงไปเลยครับ




ถึงแล้วครับ  " Kilkenny Castle " ตั้งอยู่ในตัวเมือง ติดถนนเลย

อันดับแรกเราต้องไปหาที่จอดรถกันก่อน มองป้ายแล้ว เสียตังเฉพาะจันทร์ -เสาร์ แสดงว่าวันอาทิตย์จอดฟรีแน่ๆ อิอิ

จากนั้นก็เดินมาที่ทางเข้าด้านหน้า  จริงๆ มีทางเข้าหลายทางนะครับ
http://www.kilkennycastle.ie/en/


มาดูแผนที่นิดนึงครับ


แต่ละเดือน เวลาเปิดปิดไม่เหมือนกัน อย่าลืมเช็คเวลาด้วยนะครับ


เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ก็จะพบกับปราสาท อันใหญ่โต  และสนามหญ้าสีเขียวที่กว้างขวาง แบบนี้


เราชื่นชมความงามอยู่แต่ภายนอก ไม่ได้เข้าไปชมด้านในครับ  เพราะเค้าห้ามถ่ายภาพ ฮ่าฮ่าฮ่า

แต่หากใครต้องการเข้าไปชมภายใน เสียค่าเข้าชม คนละ 6 euro



Kilkenny Castle เป็นปราสาทแบบนอร์มัน มีอายุกว่า  800 ปีแล้วครับ

ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12  ตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนสายโบราณ



ปราสาทริมฝั่งแม่น้ำ Nore แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ   William Marshal, 4th Earl of Pembroke ซึ่งสร้างเสร็จในช่วงต้นของศตวรรษที่ 13

ต่อมาก็ได้ตกอยู่มือของ ครอบครัว Butler กว่า 600 ปี จนกระทั่ง ปี 1967 ได้ขายต่อ หรือ บริจาคก็ว่าได้ ให้กับ Castle Restoration Committee

หน่วยงานของ Office of Public Works ในราคา เพียง 50 euro  เพื่อเป็นสมบัติของชาติ และชาว Kilkenny ต่อไป



หนูน้อยคนนี้ ดูจะถูกใจสนามหญ้าเขียวๆ


หลายคนก็ใช้ที่นี่เป็นที่พักผ่อน นั่งเล่นกัน  เปรียบเหมือน พาร์ค ย่อมๆ เลย


บนปราสาทมีห้องน้ำบริการด้วยครับ อยู่ชั้น 2 เดินไกลนิดนึง ด้านบนทางเดินลึกลับนิดหน่อย


เราใช้เวลานี่ประมาณชั่วโมงกว่า ก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ


ถนนในเมืองจะเล็กๆนะครับ  แต่ละร้านก็จะตกแต่งกันสวยงาม น่ารักมาก


ป้ายถนน เป็นเหล็กสีดำสนิท เก๋มาก


ตึกที่นี่จะเน้นสีสัน สวยงาม แม้จะทากันคนละสี แต่เค้าก็คุมโทนได้สวยงาม

ถ้าเป็นบ้านเรา คงจะไม่สวยแบบนี้



ชอบวิวแบบนี้จริงๆ บรรยากาศน่าอยู่มาก


มุ่งหน้าสู่ Cashel ครับ  อีก 37 กิโลเมตร



เริ่มเข้าสู่ County Tipperary  ใกล้จะถึงแล้วhttp://www.tipp.ie/


และแล้วเราก็เจอแกะ แบบระยะไกล   แกะที่นี่เค้าจะพ่นสีบนตัวแกะเป็นจุดๆ เหมือนทำสัญลักษณ์ไว้ด้วย


ถึงเมือง Cashel แล้วครับhttp://www.cashel.ie/


นั่นไงครับ เห็นมาแต่ไกลเลย แต่ ...

ทำไมมันเหมือนกำลังซ่อมแซม



พอขับเข้ามาใกล้ๆ อ้อ ..ยังเปิดอยู่  ยังโอเค

เข้าไปหาที่จอดรถกันก่อน 



ตอนแรกว่าจะไปหาร้านอาหารแถวนั้นกินก่อน แต่ดูแล้วคล้ายๆภัตตาคารเลยครับ เลยตัดสินใจไม่เอาดีกว่า 

ไปกินขนมปังที่เตรียมมาแทน



แถวๆ ที่จอดรถ มีโต๊ะ และ ม้านั่งไว้ พอดีเลยครับ  เราเลยมานั่งกินกันใต้ต้นไม้

บรรยากาศดีมากๆ อากาศเย็นๆ ฟังเสียงนกร้อง



กินอิ่มแล้ว ก็เดินออกมาที่ ด้านหน้าอีกครั้ง เดี๋ยวเราเข้าไปดูดีกว่า ว่ามีตรงไหนให้ชมบ้าง


อีกา เยอะทีเดียวครับ


มองกลับไปถนน ด้านล่าง    เป็นหมู่บ้านขนาดย่อมๆ


พร้อมแล้วเข้าไปชมกันด้านในดีกว่าครับ

ค่าเข้าชม คนละ 6 euro  senior 4 euro  ไอ่เราก็อุตส่าห์เตรียมเงินไปพร้อม

พอยายบงเข้าไปซื้อตั๋ว เค้าก็คิดราคา senior กันทั้งหมดเลยครับ 


(ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ลองคิดเอาเองนะครับ 5555)  ไม่ใช่หรอกครับ จริงๆ คงเห็นมาเป็นกลุ่มมากกว่า เลยลดให้ อิอิ

Open:

Mid March to Mid June, daily 9.30am - 5.30pm

Mid June to Mid September 9.00am - 7.00pm

Mid September to Mid October 9.00am - 5.30pm

Mid October to Mid March 9.00am - 4.30pm

Last admission: 45 minutes prior to closure
http://www.cashel.ie/tourism.php?sect=Rock%20Of%20Cashel


หลังจากได้ตั๋วแล้วก็เดินไปด้านนอก ก็จะพบกับภาพนี้

" Rock of Cashel " หรือที่รู้จักกันในชื่อของ Cashel of the Kings  หรือ  St. Patrick's Rock

ประกอบด้วย  4 ส่วน ได้แก่  Hall of the Vicars Choral เป็นตึกด้านหน้าที่เราซื้อตั๋ว และมี พิพิธภัณฑ์ ด้วยครับ

รวมทั้ง  Cathedral ที่เห็นในภาพนี้    , Round tower อยู่ที่ด้านหลัง และ Cormac's Chapel ซึ่งเป็นส่วนที่กำลังซ่อมแซมบูรณะอยู่



มื่อเราเดินมาที่ด้านหลัง ก็จะเจอกับ Round Tower และสุสาน


มีรูปปั้นตรงหลุมฝังศพด้วยครับ  สังเกตว่า จะมีไม้กางเขน แบบ Celtic Cross ด้วย


ด้านริม เป็น O' Scully Monument สร้างขึ้นเมื่อปี 1870 เป็นอนุสาวรีย์ของตระกูล Scully

จริงๆ มียอดด้านบนด้วยนะครับ เป็น Celtic Cross อันใหญ่มากครับ แต่หักพังทลายไปแล้ว



วิวด้านหลังสวยมาก


และนี่เอง จึงถูกกล่าวว่าเป็นเมืองโบราณ ทึ่ความสุง 200 ฟุต เห็นวิวกว้างเลยครับ


ในส่วนของ Round Tower มีอายุเก่าแก่ กว่า 900 ปีทีเดียวครับ มีความสูงประมาณ 28 เมตร

ที่น่าทึ่งคือ ใช้เทคนิคการสร้างแบบ dry stone คือเรียงหินโดยที่ไม่ได้อาศัยอะไรมาเชื่อมเลย



จากด้านใน  Cathedral มองเห็น Round Tower ด้านนอก

ซึ่งส่วน ของ St. Patrick's Cathedral เป็นส่วนหลักๆ ที่ยังเหลืออยู่ จากการเผาไหม้ของกองกำลังในสมัยนั้น



เข้ามาภายในแล้วรู้สึก บรรยากาศ ขลังมา


ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบ  Celtic ที่งดงาม


กลับเข้ามาในอาคาร  Hall of the Vicars Choral  ที่เราซื้อตั๋วกัน มีส่วนจัดแสดงอยู่นิดหน่อยครับ เกี่ยวกับพวกข้าวของเครื่องใช้ในยุคนั้น  รวมทั้ง  St. Patrick’s Cross ที่อยู่ด้านหลังด้วย



ออกจาก Rock of Cashel ได้นิดเดียว ก็เจอบ้านแบบนี้

" Thatched Cottages " บ้านสไตล์ไอริช



มุ่งหน้าต่อเลยครับ  ถนนโล่งมาก


วิวสวยๆ มีให้เห็นเป็นระยะ


ปลายทางเราอยู่ที่เมือง Cork ครับ อีกไม่ไกล


พอเริ่มเข้าใกล้ตัวเมือง ก็เจอสัญญาณไฟจราจร แบบนี้ ไม่รู้จะเยอะไปไหน


พอเข้าตัวเมือง ก็จะเห็นเรือลำใหญ่จอดอยู่  เมืองนี้อยู่ติดทะเลด้วยนะ


ที่นี่ถือว่าเป็นท่าเรือที่สำคัญของไอร์แลนด์ แห่งนึงเลย


ตัวเมือง รถเยอะใช้ได้ครับ  แต่เรายังไม่เข้าที่พัก เราจะตรงไปยัง Blarney Castle  ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันก่อน


จะ 5โมงเย็น แล้ว ไม่รู้จะไปทันไหมเนี่ย


Blarney เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของ Cork


ป้อมตำรวจนะเนี่ย


ถึงแล้วครับ Blarney Castle ตรงเข้าไปซื้อตั๋วกันก่อน  

และ เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้าจะขึ้นไปบนปราสาท คุณมีเวลา แค่ 20-30 นาทีเท่านั้นนะ    เพราะปราสาทกำลังจะปิดแล้ว  
ได้ยินแบบนี้ ก็โอเคครับ ได้ตั๋ว พร้อมแผนที่เสร็จก็วิ่งเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า  

เวลาเปิดปิด

Monday to Saturday

•May: 9.00am to 6.30pm
•Jun-Jul-Aug: 9.00am to 7.00pm
•Sept: 9.00am to 6.30pm
•Oct-Apr: 9.00am to sundown

Sundays

•Summer: 9.00am to 5.30pm
•Winter: 9.00am to sundown
Last Admissions is 30 minutes before closing.

อัตราค่าเข้าชม

Adult Admission: Euro 10

Student / Seniors: Euro 8

 http://www.blarneycastle.ie/


ระยะทางจากทางเข้า กว่าจะมาถึงปราสาท ประมาณ 200-300 เมตร ได้ครับ   วิ่งจนได้เหรียญทองเลย 

มาทำความรู้จักปราสาทบลาร์นีย์ กันก่อนครับ ปราสาทนี้สร้างขึ้นเมื่อเกือบ 600 ปีก่อนโดย คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี (Cormac MacCarthy)

หนึ่งในผู้นำคนสำคัญของไอร์แลนด์   โดย เดิมปราสาทนี้สร้างมาจากไม้ และ เปลี่ยนเป็นหินในภายหลัง  และถูกทำลายลงอีกครั้ง

คอร์แม็ค แม็คคาร์ธี จึงได้สร้างใหม่โดยนำหินใต้บัลลังค์ที่กษัตริย์แห่งสก๊อตแลนด์ มอบให้ เป็นของตอบแทนจากการส่งทหารไปช่วยรบมาไว้ที่ปราสาทแห่งนี้

ทำ ให้ปราสาทบลาร์นีย์ เป็นสถานที่ดึงดูดใจของไอร์แลนด์นับตั้งแต่นั้นมา และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกว่าเป็นหนึ่งในมรดกอันล้ำค่าของไอร์แลนด์



พอไปถึงได้ยินเสียงตะโกนเรียกมาจากด้านบน เรียกใครหว่า ฮ่าฮ่าฮ่า สงสัยเค้ากำลังรอพวกเราอยู่


มาดูมุมกว้างบ้าง สวนสวยมาก  ครับ โดยเฉพาะสีสันของต้นไม้ นี่สวยจริงๆ

จากมุมสูงนี่ มองลงไป ไกลสุดสายตาเลย



เมื่อมาถึงด้านบน ก็จะเป็นทางเดินวนรอบแบบนี้ครับ มุมนี้จะเห็นว่าปราสาทมี 4 ชั้นด้วยกัน

ประกอบไป ด้วยห้องโถง ห้องนอน ห้องจัดเลี้ยง ห้องพระ  และห้องครัว 

พยายามมองหาอยู่ว่า ตรงไหนที่เค้ามาจูบหินกันหว่า



จนเจอเจ้าหน้าที่ยื่นรออยู่ตรงนี้ครับ   คราวนี้อยากรู้มั้ยครับว่าทำไมต้องมาจูบ อิอิ

" Blarney Stone " หินในตำนานบนยอดหอคอย  ที่ดึงดูดให้คนทั่วโลกมาที่นี่  

เค้ากล่าวกันว่า การได้จุมพิตผนังหินที่นี่  จะทำให้คุณไม่อับจนโวหาร  มีบุคคลสำคัญหลายคนเลยครับ  อย่าง เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต

ไปจนถึงประธานาธิบดีอเมริกา และผู้นำโลกหลายคน รวมถึงนักแสดงชื่อก้องโลก เคยมาใช้พลานุภาพจากผนังหินแห่งนี้มาแล้ว

อุปกรณ์ก็มี  มีผ้ายาง ไว้รองตัวตอนที่นอนจุมพิตหิน   ส่วนเหล็กสีดำ นั้น เอาไว้ให้เราจับและเจ้าหน้าที่จะไปยืนตรงเหล็กสีดำด้านล่าง

ตอนแรกกะว่าจะมาถ่ายภาพ คนกำลังจูบ  แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวหายหมดแล้ว  


ยืนมองอยู่นาน  ใครจะจูบล่ะ   เลยตกลงว่า ให้ยายบงผู้กล้า ลองจูบก่อน



หลังจากยายบง ลองแล้ว ก็ถึงตาเราลองบ้าง  ขั้นแรกก็นอนบนแผ่นยางที่ปุไว้ และเอามือจับเหล็กทั้งสองข้างไว้ครับ

โดยมีเจ้าหน้าที่คอยพยุงตัวเราไว้ จากนั้นก็เอี้ยวตัวลงไปประทับรอยจูบที่  หิน ครับ

ตอนเอี้ยวตัวลงไป รู้สึกว่าจุดนั้น มันอยู่ต่ำมาก ไม่ถึงซักที    แต่ไม่เสียวนะครับ เพราะตอนจูบมันมองไม่เห็นว่าสูงเท่าไร



หลังจากภาระกิจจูบ เสร็จสิ้น ก็ให้ทิป กับเจ้าหน้าที่เล็กน้อย   เค้าอาสาถ่ายรูปหมู่ให้พวกเราด้วยครับ

ดังนั้นใครมาที่นี่แล้วไม่ได้จุมพิตหิน น่าเสียดายมากๆ เพราะเป็น 1 ในสิ่งที่ควรทำก่อนตาย ด้วยล่ะ



จากนั้นก็ชมวิวด้านบนอีกแป๊ปนึง ก็ต้องรีบลงแล้วครับ

ที่เห็นเป็น  Lookout Tower



พอลงมา ก็จะผ่านโถง   " The Banqueting Hall "


เอาบันได ที่ขึ้นลงให้ดูอีกทีนะครับ แคบมากๆ ต้องจับสองมือเลย


ตอนลงง่ายกว่าตอนขึ้นนิดหน่อยครับ ในที่สุดก็ลงมาถึงชั้นล่างโดยปลอดภัย

เจ้าหน้าที่ก็กำลังตามลงมา



แต่ ..

เมื่อแหงนขึ้นไป  กำลังจะถ่ายรูปจุดที่เรา ประทับรอยจูบ

ใครอยู่ข้างบนนั้นอีกหว่า  กำลังเล็งกล้อง ถ่ายเหมือนกันเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

พอเจ้าหน้าที่ลงมาเตรียมจะปิดประตูทางออกขึ้นลง  เลยบอกไปว่ามีคนอยู่ข้างบนอีก 2 คนนะครับ

เดือดร้อนเจ้าหน้าที่ต้องขึ้นไปตามให้ลงมา



โฉมหน้าของคู่รัก ที่อาสาจะเฝ้า ปราสาท ครับ 

เห็นเจ้าหน้าที่เค้า วอ คุยกัน ระหว่างที่ขายตั๋วกับที่นี่ เค้าบอกว่า

คู่นี้มาตั้งนานแล้ว  ทำไมยังไม่กลับไปอีก  สงสัยไปแอบอยู่ตามซอก หลืบ หรือเปล่าไม่แน่ใจ รอปลอดคน ค่อยออกมา



มาดูปราสาทบลาร์นีย์ กันชัดๆ อีกครั้ง รูปทรงอาจจะไม่อลังการเท่าไร


ไปเดินชมสวนดอกไม้สวยๆ ดีกว่า


ต้นไม้ต้นนี้ เหมือนจะหักใช่ไหมครับ  แต่ไม่ใช่  มันโตมาในรูปทรงนี้เอง  ยังเจริญเติบโตได้ต่อไป

ต้นไม้ที่นี่บางส่วนมีอายุกว่า 600 ปีทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะปลูกในช่วงปี 1980-1990



ต่อไปเราจะไปชมส่วนอื่น ๆ ของภายในสวน แห่งนี้กันบ้างครับ

พื้นที่มีขนาดใหญ่มากจริงๆ



เหมือนเดินผจญภัยในป่าเลย


จุดแรก คือ " Dolmen " เป็นที่เก็บศพใน สมัยก่อนครับ

โดยจะมีหินสองก้อนตั้งขึ้น เป็นฐาน และมีแผ่นหินวางพาด ไว้ระหว่างหินสองก้อนนั้น

ซึ่ง  Dolmen จะถูกฝังไว้ใต้ดิน  เมื่อเวลาผ่านไป ดินถูกพัดชะล้างไปหมด ก้อนหินจึงโผล่ขึ้นมา



หินก้อนใหญ่ ตั้งอยู่บนก้อนหินก้อนเล็กได้อย่างไร


อีกจุดใกล้ๆ กัน คือ  " Wishing Steps "

มี ความเชื่อว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีแม่มดแห่งบลาร์นีย์  นำฟืนจากป่าไปใช้ในครัว เลยอยากจะตอบแทนผู้ที่มาเยือน  โดยหากต้องการพรสิ่งใด

ให้คิดถึงสิ่งนั่น  ในระหว่างที่หลับตาก้าวขึ้น และลงบันได



วิธีการก็คือ หลับตา เดินขึ้น - ลง จนสุด ระหว่างนั้นก็คิดถึง สิ่งที่อยากได้ 1 ข้อ

พรนั้นจะเป็นจริงใน 1 ปี   แต่ต้องระวังลื่นล้ม เค้าไม่รับผิดชอบนะครับ

ผมเองก็เกือบจะเผลอลืมตา เหมือนกัน



เดินมาถึงจุดนี้เราก็เดินกลับแล้วครับ  เจอเงาสะท้อนด้วย


เดินกลับมาสำรวจที่หน้าปราสาทต่ออีกนิด ครับ กับ Lookout Tower


ด้านนี้ เรียกว่า " North Wall "


Blarney Castle ถูกสร้างขึ้นบนฐานหินขนาดใหญ่กว่า 8 เมตร

จากรูปจะเห็นรอยต่อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสร้างขึ้นสองรอบด้วยกัน



Kennel, Sentry & Dungeon

ด้านขวามือเป็นส่วนของทางเข้า tower มีคอกสุนัข ที่คอยเฝ้ายาม ระวังภัย



ได้เวลาเดินออกแล้วครับ ขากลับได้ยินเสียงนกร้อง เป็นระยะ ธรรมชาติที่นี่สมบูรณ์จริงๆ


เดินมาถึงด้านหน้า นึกว่าอยู่ญี่ปุ่นเ


จากนั้นเราก็เดินทางเข้าเมือง Cork ไปยังที่พักคืนนี้กันครับ

เมือง Cork เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ ของไอร์แลนด์   เคยได้รับการขนานนามว่า เป็น นครหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปประจำปี 2005 ด้วยครับ

นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองท่า ที่สำคัญ เพราะตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Lee ครับ
http://www.cork-guide.ie/home.htm


ถึงแล้วครับที่พักของเรา " Hotel Isaacs Cork "

ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Cork รถเยอะ หาที่จอดยากนิดนึง พวกเราขนกระเป๋าลงไว้ก่อน

จากนั้นก็ไปจอดที่จอดรถของเอกชน อยู่ที่ซอยถัดไป  ไม่ไกลมาก เป็นที่จอดรถของโบสถ์ ครับ

ทางโรงแรมมีรีโมทให้มาเรียบร้อยเพราะต้องใช้เปิดปิด บริเวณที่จอดรถ



ไปเช็คอินกันก่อนครับ ที่ Isaacs มีทั้งในส่วนของโรงแรม และส่วนของ Apartment ครับ

โดยในส่วนของโรงแรม มีห้องพัก 47ห้อง และ 11 ยูนิต สำหรับส่วนของ อพาร์ทเมนท์

บริเวณโดยรอบมีร้านค้า มินิมาร์ท ร้านอาหาร เยอะเลยครับ รวมถึงมีตู้โทรศัพท์อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย

เผื่อใครจะใช้บัตรโทรศัพท์ โทรกลับบ้าน



ส่วนของล๊อบบี้ ครับ มีอินเตอร์เน็ตบริการ แต่เสียเงินนะครับ

เดี๋ยวพาไปชมห้องที่เราจองครับ เป็น 3-Bedroom Apartment ราคา 95 ยูโร  สามารถนอนได้ 6 คน

ถ้าใครพักในส่วนของ รร. ก็ขึ้นบันได ตรงด้านหน้า



เราพักในส่วนของอพาร์ทเมนท์  ต้องเดินเข้าไปด้านหลัง ผ่านห้องอาหาร ครับ ก็จะเจออีกตึกด้านใน

ขึ้นมาที่ชั้น 2 ครับ เปิดประตูห้องมา  โอ้ว กว้างมาก   ด้านซ้ายจะเป็นส่วนห้องพักผ่อน  ถัดไปด้านในเป็นครัว



มีอุปกรณ์ ทุกอย่างพร้อม  เดี๋ยวเราจะทำอาหารทานกันคืนนี้


มาดูส่วนของห้องนอนกันบ้าง ครับ มีทั้งหมด 3 ห้องนอน  ห้องนี้เป็น Double Bed

ขนาดห้องไม่ใหญ่มาก นะครับ แต่ก็นอนสบาย



ห้องนี้เป็น Twin Bed ส่วนอีกห้องก็คล้ายๆ กันครับ

อ้อ มี  heater ให้ทุกห้องเหมือนกัน



มีห้องน้ำ อยู่ห้องเดียวครับ สีขาวทั้งห้องเลย   พร้อม amenities แต่เสียงปั้มน้ำดังไปหน่อย


จากนั้นเราก็ออกไปซื้อของสด มาทำอาหารกันครับ เดินไปสี่แยกใกล้ๆ มีมินิมาร์ทหลายร้านเลยครับ

อันนี้เป็นร้านของแขก มีขายเนื้อสัตว์ และ เครื่องปรุงแถบบ้านเราด้วย



ระหว่างรอเค้าปรุงอาหารกัน ก็มานั่งกรอก ใบสำรวจประชากร ของไอร์แลนด์ ด้วยครับ แปลกดีเหมือนกัน

เค้า บอกว่าคืนนี้  10 April เป็น Census Night ที่ต้องสำรวจประชากรเพื่อเป็นข้อมูลในอนาคตว่า ณ ตอนนี้ มีประชากรเท่าไร และอาศัยอยู่กันยังไง



ปิดท้ายด้วย อาหารมื้อเย็น แบบง่ายๆ ที่แสนจะอร่อย


สำหรับวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ครับ พบกันใหม่ตอนหน้าครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น