วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่ไอร์แลนด์แล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก แต่ละวันก็ได้สัมผัสวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไป
เมื่อวานช่วงเย็นๆ เราก็ได้ไปสำรวจเมือง Dublin กันบ้างแล้ว วันนี้ก็จะพาไปเดินเล่นในเมืองกันต่อ
สำหรับวันสุดท้ายเรามีเวลาเที่ยวตั้งแต่ช่วงเช้าถึงช่วงเย็น แต่มีสถานที่สำคัญๆ หลายแห่งทีเดียว
แต่คงไปชมได้เพียงบางส่วนเท่านั้นครับ พร้อมแล้ว มาเดินทางกันต่อนะครับ
หลังจากนอนหลับพักผ่อนกัน ที่ Ariel House กันแล้ว ตอนเช้าเราก็ออกมาทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารครับ
ห้องอาหารที่นี่ไม่ใหญ่มากครับ มีทั้งที่นั่งด้านนอกที่ติดกระจก ซึ่งจะเห็นวิวสวนที่สวยงาม และ Aviva Stadium
และนี่เป็นที่นั่งด้านในครับ ห้องอาหารที่นี่ตกแต่งเรียบง่าย สดใสด้วยโทนสีแดง
อาหารเช้าของ Ariel House มีชื่อเสียงมากครับ จนติดอันดับ 1 ใน 100 ในปี 2011 จาก Bridgestone
นอกจากนั้นยังได้รับการแนะนำจาก Irish Times Weekender Magazine ว่าเป็นอาหารเช้าที่ดีที่สุดแห่งนึงเลย
อาหารเช้าของที่นี่ เปิดบริการตั้งแต่เวลา 07.30 - 10.00 น. ในวันจันทร์ - วันศุกร์ ครับ
สำหรับวันหยุดถ้าเราอยากจะนอนตื่นสาย หรือจะเช็คเอ้าท์ ก่อนเวลา ก็สามารถแจ้งเค้าได้ครับ
สามารถจัดใส่เป็นชุดให้เรานำไปทานระหว่างทางก็ได้ครับ
ซึ่งรายการอาหารเช้า ก็มีหลายอย่างครับ เลือกได้จากเมนูเลยครับhttp://www.ariel-house.net/assets/files/BreakfastMenu.doc
เสิร์ฟชาร้อนๆ กันก่อน
มาต่อกันที่ขนมปังนะครับ หยิบตักได้ตามใจชอบเลยครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบ เลยตักพอเป็นพิธี
ขนมปังจะเป็นพวก " Homemade Brown Bread
Freshly Baked Fruit Scones & Banana Bread "
ลองชิมซักหน่อย ก็อร่อยดี
จานหลักมาแล้วครับ จานนี้เป็น " Poached Eggs and Crispy Bacon on toasted homemade Brown Bread with Tomato Chutney "
ดูกันใกล้ๆ ครับ หลายคนคงชอบแน่ๆ หน้าตาน่าทานแบบนี้
จานนี้ แน่นอน เคยชิมแล้ว ไอริช เบรคฟาสต์ ครับ " Ariel House Irish Breakfast "
ประกอบไปด้วย Grilled Bacon, Sausage, Tomato with Black & White Pudding Sauté Mushroom & a Fried Egg
ของที่นี่ต่างจาก bb ที่เราทานวันแรกๆ ตรงที่มีเห็ดด้วย
จานนี้เป็น " Poached Eggs and Smoked Salmon with a Citrus Beurre Blanc sauce "
หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาอำลา Ariel House แล้วครับ
เราก็ออกเดินทางกันไปในเมืองครับ ระหว่างทางก็ชมอาคารที่มีสถาปัตยกรรม ที่สวยงาม
เช้าๆ วันอาทิตย์ ถนนโล่งเชียวครับ น่าเดินมาก
อาคารแถบนี้ ที่ผนังโชว์ลายก้อนอิฐ ดูสวย คลาสสิคดี
วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศดีทีเดียว
เรามาหาที่จอดรถกันในซอยครับ ก็พยายามหาป้ายที่จอดฟรีทั้งวัน ซึ่งส่วนใหญ่วันอาทิตย์ก็จะจอดฟรี
จอดรถเสร็จก็เดินออกมาตามถนน เงียบสงบมากๆครับ ไม่ค่อยมีคนเดินเท่าไร
ตามทางก็จะมีตึกสวยๆ ที่ตกแต่งด้วยรูปภาพสีสันสดใส ดูแล้วสบายตา
แผนของเราวันนี้คือ
St.Patrick's Cathedral - Christ Church Cathedral - Bank of Ireland - Trinity College
และเดินย้อนกลับมาที่ที่จอดรถ
ถ้ามีโอกาสจะมานั่งรถบัสชมเมืองก็ได้นะครับ
สำหรับผู้ที่จะท่องเที่ยวในเมือง Dublin ก็ลองดู Dublin Pass ไว้เป็นตัวเลือกนะครับ
เพราะมีสิทธิพิเศษต่างๆ ที่สามารถเข้าชมสถานที่สำคัญๆ ในเมือง มากมาย รวมทั้ง รับส่งจากสนามบินมายังตัวเมือง
หนังสือไกด์บุ๊คท่องเที่ยว Dublin และอื่นๆ อีกมากมาย มีให้เลือกทั้ง 1,2,3 และ 6 วัน ตามความเหมาะสมของแต่ละคนครับhttp://www.dublinpass.ie/dublinpass/whatsincluded/default.asp?refID=stpatricks
ถึงแล้วครับ ที่แรก คือ " St.Patrick's Cathedral " เป็นโบสถ์สไตล์ Gothic สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1191
เป็น 1 ใน 2 โบสถ์ ของ Dublin ที่มีขนาดใหญ่มากครับ (อีกที่คือ Christ Church Cathedral)http://www.stpatrickscathedral.ie/index.aspx
St. Patrick's Cathedral เป็นมหาวิหารประจำชาติ (National Cathedral) ของเหล่าคริสตจักรในไอร์แลนด์
ที่นี่ถือเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์ ด้วยความสูงกว่า 43 เมตร http://en.wikipedia.org/wiki/St_Patrick's_Cathedral,_Dublin
เราไม่ได้เข้าไปชมด้านในนะครับ เวลาเปิด-ปิด และค่าเข้าชม ลองดูตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ
Opening Times
March - October
Monday - Friday 09.00 - 17.00
Saturday - 09.00 - 18.00
Sunday - 09.00 - 10.30 / 12.30 - 14:30/ 16.30 - 18.00
November to February
Monday - Friday 09.00 - 17.00
Saturday - 09.00 - 17.00
Sunday - 09.00 - 10:30 / 12.30 - 14:30
Admission Charge for Visitors : Adult 5.50 euro
http://www.stpatrickscathedral.ie/Visitor-Information.aspx
ด้านข้างเป็น St. Patrick's Park น่าไปเดินเล่นมาก
เวลาเปิดปิดของสวนแห่งนี้
องหมา ขาอวบ
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับ Dublinia ทางด้านซ้ายของรูป และ Chirst Church Cathedral ทางขวามือของรูป
" Dublinia " เป็นศูนย์แสดงนิทรรศการ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมือง Dublin ในยุคกลาง ตั้งแต่สมัยการเข้ามาของ Anglo-Normans
ในปี ค.ศ.1170 จนถึงการสิ้นสุดยุค Monasty ในปี ค.ศ.1540 ซึ่งภายในมีการแสดงในรูปของสื่อวีดีโอ รูปแบบจำลองต่างๆhttp://www.dublinia.ie/
http://www.heritageisland.com/attractions/dublinia/
Opening Hours
April-September: 10am-5pm daily
October-March: Monday-Saturday 10am-4pm / Sunday 10am-4:30pm
เดี๋ยวเราเดินไปชม Chirst Church Cathedral ที่อยู่ติดกัน นะครับ
ตามทางเท้าก็จะมีสัญลักษณ์ แบบนี้ตกแต่งไว้ด้วย
" Chirst Church Cathedral "สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1030 โดย Sitriuc King
มีอายุเก่าแก่มากที่สุด และถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองดับบลินเลยทีเดียวhttp://cccdub.ie/
เวลาเปิดปิดและค่าเข้าชม เข้าไปดูได้ที่นี่เลยครับ
Opening Hours & Service Times
Monday - Saturday
April, May, September, October = 9.30am - 6.00pm (Last entry 5.30pm)
June - August = 9.30am - 7.00pm (Last entry 6.15pm)
November – March = 9.30am – 5.00pm (Last entry 4.15pm)
Sunday opening hours
June – August = 12.30pm – 2.30pm, 4.30pm – 7pm (Last entry 18.15)
September – May = 12.30pm – 2.30pm
Entry Charge
Adults 6 euro / Seniors 4 euro
http://cccdub.ie/index.php?/opening-hours/
เนื่องจากเราไม่ได้เข้าชม สามารถชมภาพด้านในได้ที่นี่ครับ
http://cccdub.ie/index.php?/panorama-external-link.html
บนทางเท้าก็มีจักรยานไว้ให้เช่าด้วย
เราเดินต่อไปทาง Lord Edward Street
แวะร้านกิฟท์ช๊อป
เข้าสู่ Dame Street ที่นี่มีทางสำหรับจักรยานด้วยครับ ลูกซ้อนท้ายพ่อกับแม่ คนละคัน น่ารักจริง
ฝุ่นไม่ค่อยมี เพราะเค้าทำความสะอาดกันบ่อย
ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้แล้วครับ ฝั่งตรงข้ามของจุดที่เราอยู่ตรงนี้ในแผนที่ก็จะเป็น Bank of Ireland จากนั้นตรงไปขวามือ จะเป็น Trinity College
" Bank of Ireland " ตั้งอยู่บน College Green ออกแบบโดย Sir Edward Lovett Pearce เมื่อปี ค.ศ. 1729
โดยช่วงแรกใช้เป็นที่ทำการของรัฐสภา ต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1802 ได้ขายให้กับธนาคารกลางhttp://www.planetware.com/dublin/bank-of-ireland-irl-db-bair.htm
และเป้าหมายต่อไปของเราคือ ที่นี่
ด้านหน้าของ Trinity College เดี๋ยวเราข้ามถนนไปชม
ศิษย์เก่าของ Trinity College ได้แก่ Oscar Wilde กวีชื่อดังของไอร์แลนด์ และยังมี Swift, Burkeley, Burke, Goldsmith และ Buckett ที่จบทางด้านศิลปะของ Trinity College
ในภาพเป็นรูปปั้นของ Goldsmith ครับhttp://www.tcd.ie/
เด็กน้อยน่ารัก
" Trinity College "ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1592 หรือ เมื่อ 400 ปีก่อน โดยสมเด็จพระราชินีอลิซาเบทที่ 1
เข้าไปด้านในกันครับ ที่นี่นอกจากเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไอร์แลนด์ ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปตะวันตก อีกด้วย
Trinity College ได้รับการจัดอันดับของ The Times Higher Education Supplement ให้เป็นสถาบันอันดับที่ 53 ของมหาวิทยาลัยทั่วโลก และ อันดับที่ 13 ของมหาวิทยาลัยทั่วยุโรป
เดี๋ยวเราตรงไปที่ Book of Kells กันครับ
ค่าเข้าชม Adults 9 euro
ที่ Trinity College นี้มีห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอร์แลนด์และในยุโรป ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้ถึง 500,000 คน ต่อปี
ในแต่ละปีจะมีหนังสือที่ออกใหม่อยู่ในห้องสมุดนี้กว่า 100,000 ชนิด และยังเป็นที่รวบรวมต้นฉบับของ The Book of Kells
ซึ่งมีอายุกว่า 800 ปี และได้เก็บไว้ในหอสมุดแห่งนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันนี้กลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก http://www.tcd.ie/Library/bookofkells/
ลูกโลกสีทอง ในบริเวณ Trinity College
หลังจากชม The Book of Kells เสร็จ ก็จะลงมาชั่นล่างผ่านกิฟท์ช๊อปขายของที่ระลึกของที่นี่ ครับ
จากนั้นก็เดินออกมาที่ประตูด้านหน้า ที่เราเข้ามาเหมือนเดิมครับ
เลี้ยวซ้ายเดินต่อไปตามทาง เราจะไปที่ Grafton Street กัน
ตัวมาสคอต ตัวนี้ชื่อว่า " Leprechaun " มาจากนิทานของชาวไอริชhttp://en.wikipedia.org/wiki/Leprechaun
Grafton Street เป็น 1 ในสองถนนช๊อปปิ้งหลักของในตัวเมือง Dublin ( อีกแห่ง คือ Henry Street)
อยู่ระหว่าง St. Stephen's Green และ College Green
ใน ปี 2008 ได้รับการจัดอันดับว่าเป็น เป็นถนนช๊อปปิ้งที่มีราคาค่าเช่าพื้นที่ ที่แพงที่สุด ติด 1 ใน 5 ของโลก คือมีราคา 5621 euro/ ตร.ม.http://en.wikipedia.org/wiki/Grafton_Street
มีร้านค้าแบรนด์ดังต่างๆมากมาย เห็นแปะป้าย sale หลายร้านทีเดียว
ระหว่างทางของถนนสายช๊อปปิ้งแห่งนี้ เราก็จะพบศิลปินมากหน้าหลายตา ไม่จำกัดอายุ
ดูอย่างลุงคนนี้สิครับ ชุดพร้อม อุปกรณ์พร้อม
เป็นถนนสำหรับคนเดินโดยเฉพาะเลย
ลุงคนนี้ ออกสเต็ป เต้นประกอบเพลง ♫ ตะแล๊บ แต๊บๆ
ก่อนที่จะไปสำรวจถนนเส้นนี้กันต่อ ขอแวะทานมื้อเที่ยงกันก่อน ที่ แมคโดนัลด์ ครับ เมนูก็คล้ายๆบ้านเรา http://www.mcdonalds.ie/
อิ่มแล้วก็เดินต่อ ใกล้ๆ กันมีร้านกิฟช๊อปครับ ของในร้านบางอย่างก็ถูกกว่าที่เราเคยซื้อ
แต่ก็ต่างกันไม่มากเท่าไรครับ สรุปที่สนามบิน ราคาถูกสุด
ศิลปินคนนี้กำลังเชิดตุ๊กตา น่ารักดีครับ ทำได้ตั้งหลายท่า นอนไขว่ห้างก็ได้
ส่วนคนนี้ ลมแรงไปหน่อย ทำเอาหัวตั้ง เนคไทด์ปลิวเลย
หรือจะเล่นฟองสบู่ ก็สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนที่เดินไปมาได้ครับ
ชอบรูปนี้เป็นพิเศษ ดูแล้วได้อารมณ์มาก
ศิลปะจากกองทราย ที่สามารถเสกทรายธรรมดาๆ ให้เป็นรูปร่างต่างๆได้ตามจินตนาการ
ร้านค้าอื่นๆ ที่อยู่นอกเส้นหลักของ Grafton Street ก็มีวิธีโฆษณาเชิญชวนลูกค้าแบบนี้
คนนี้ ทาสีดำทั้งตัวราวกับรูปปั้นของจริงเลยครับ แถมมีนกพิราบเกาะอีกต่างหาก
ถ้าใครให้ตังค์ เค้าก็จะขยับตัว เปลี่ยนท่าครั้งนึง
หน้าตาดุเชียว ครับ จมูกก็ยาว
ช่วงที่ไปลดราคาหลายร้านเลยครับ เข้าไปดูแล้วมีแต่ไซส์ ใหญ่ๆ เลยอด
เดินไปเรื่อยๆ ก็มีการแสดงจากศิลปินเป็นระยะๆ ครับ คนนี้เล่นคบไฟ โยนไปมา
สร้างความหวาดเสียวเล็กน้อยให้กับ คนดู รวมถึงมุขการพูดต่างๆ ทำให้มีคนมามุงดูเยอะเลย
จากนั้นก็เริ่มเดินกลับไปที่จอดรถแล้วครับ ผ่านร้านขายวิกด้วย ว่าจะซื้อมาฝาก แก๊งสามช่าซักหน่อย
ที่นี่คือ " Gaiety Theater " อายุเก่าแก่ทีเดียวครับ เปิดครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 November 1871
ภายในมีการแสดงมากมาย ทั้ง โอเปร่า การแสดงละครต่างๆ คอนเสิร์ต การเต้นรำ รวมถึงความบันเทิงต่างๆ
ต่อมาเมื่อปี 2003-2007 Denis และ Caroline Desmond ซึ่งเป็นเจ้าของได้ปรับปรุงครั้งใหญ่ ทั้งระบบแอร์
ที่นั่ง รวมถึงความสูงของเพดาน และเวที เพื่อรองรับงานที่ใหญ่ขึ้นในระดับนานาชาติhttp://www.gaietytheatre.ie/
บรรยากาศดีมากๆ ครับ ตึกสวยๆ ทั้งนั้น
ป้ายโฆษณา ก็ถูกติดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากถึงที่จอดรถในซอยแล้ว เราก็เดินทางไปที่ Guinness Storehouse ครับhttp://www.guinness-storehouse.com/en/Index.aspx
ผมไม่ได้เข้าไปชมด้านใน ขอนั่งรอในรถพักเหนื่อยดีกว่า ไปชมในรีวิวของยายบงได้นะครับ
แต่ขนาดไม่ได้ไป ยังมีของที่ระลึกมาฝากด้วย ขอบคุณตาป้อมกับยายบงนะครับ
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่สนามบิน กันครับ เตรียมตัวเดินทางกลับแล้ว
พอจะกลับก็ใจหายเหมือนกันครับเวลาผ่านไป เร็วจัง
ต้นไม้ข้างทางน่าจะอายุหลายสิบปีเลยครับ ดูสวยดี
มุ่งไปทาง M1
พอถึงสนามบิน เราก็มองหาปั้มน้ำมัน เพื่อเติมก่อน ที่จะไปคืนรถครับ เพราะคุ้นๆ ว่าในสนามบินมีปั้มน้ำมันด้วย กว่าจะเจอก็วนหลายรอบเหมือนกัน
และที่สำคัญเราต้องมาจ่ายค่าทางด่วน M50 ด้วย
หน้าตาใบเสร็จครับ จ่ายไป 6 euro เองครับ แต่หลังจากนั้น เดือนก่อน มีเรียกเก็บตัดบัตรเครดิตมาอีก 3-4 euro ครับ งงเหมือนกัน
จากนั้นก็ไปคืนรถกันครับ ที่สนามบินมีแยกพื้นที่ของบริษัทเช่ารถไว้ต่างหาก ใหญ่มากเลยครับ มีหลายเจ้า
รวมถึงรถก็มีแต่รุ่นใหม่ๆ สวยๆ น่าขับทั้งนั้น
พอคืนรถเสร็จเรียบร้อย เค้าก็จะพาเรานั่งรถตู้ไปส่งที่ตัวอาคารครับ
รีบไปเช็คอินให้เรียบร้อย
ร้านค้าภายในสนามบิน เยอะเลยครับ ลองไปดูของที่ระลึกในร้าน บางอย่างกลับถูกกว่าแฮะ
นั่งรอไฟล์ทกลับ ประมาณ 2 ทุ่ม ก็ได้เวลาแล้ว
ขากลับแจกขนมปัง เหมือนเดิม
และ แซลมอนย่างราดซอส มั้งครับ จำไม่ได้แระ
ส่วนแซลมอนสดๆ ยกให้ยายบงไป
หลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ ตื่นมาอีกที ก็เห็นแสงสวยๆ แบบนี้
เส้นทางการบิน ใกล้ถึง อาบุดาบีแล้ว
จากนั้น ก็เสิร์ฟอาหารอีกมื้อ เป็น omelet เอียนมากกกกกกกกก กินได้คำสองคำก็เลิกแระครับ
เปลี่ยนไปกินโยเกิร์ต อร่อยกว่าเยอะ
ขนมมื้อสุดท้าย เป็น ป๊อปคอร์น เคลือบช๊อคโกแลต อร่อยมาก
และแล้วการเดินทางสำหรับทริปนี้ ก็จบลงอย่างสมบูรณ์สรุปค่าใช้จ่าย ทริป Ireland 9 วัน 8 คืน (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร ประมาณ 42-44 บาท)
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ สายการบิน Etihad 36,900 บาท
- ค่าวีซ่า +ค่าธรรมเนียม 3,040 บาท
- ค่ารถเช่า +ประกันอุบัติเหตุรถเช่า 4,150 บาท
- ค่าน้ำมัน + ค่าทางด่วน + ค่าที่จอดรถ 1,500 บาท
- ค่าที่พัก 11,700 บาท
- ค่าอาหาร 800 บาท
- ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ 3,000 บาท
- ค่าประกันสุขภาพระหว่างเดินทาง 1,700 บาท
รวมค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ประมาณ 62,790 บาท /คน
ขอบคุณ
ขอบคุณตาป้อม ที่ช่วยวางแผนเส้นทางขับรถ และยังขับรถพาพวกเราเที่ยวตลอดทั้งทริป โดยไม่มีบ่นซักคำ คงเมื่อยขาน่าดู ใช่ไหมครับ แต่มียายบงอยู่ข้างๆ คงจัดการนวดให้แล้วล่ะ อิอิ
ขอบคุณยายบง ที่ช่วยจัดการจองที่พักต่างๆ ช่วยหาข้อมูลต่างๆ เหมือนไกด์ส่วนตัว ที่ดูแลลูกทัวร์อย่างดีเลยครับ
สุดท้ายขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามชมนะครับ :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น