วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
OLOS in IRELAND, i'LL BE THERE [Day6] " Kylemore Abbey, GALWAY "
สวัสดีครับ
หลังจากคราวก่อน เราทานมื้อเช้ากันที่ Amber Hill B&B, Galway กันแล้ว
เราก็เตรียมตัวออกเดินทางท่องเที่ยวกันในแถบ Co. Galway นี้กันดีกว่า
โดยเฉพาะ Connemara ซึ่งแถบนี้ก็เปรียบเสมือนผืนป่าสีเขียวขนาดใหญ่
มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะปราสาทที่สวยงามต่างๆ ซึ่งกำลังรอการมาเยือนของพวกเรา
ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาเดินทางกันต่อเลยดีกว่า
แผนการเดินทางวันนี้
Amber Hill Bed and Breakfast - Ballynahinch Castle Hotel - Roundstone - Connemara National Park - Kylemore Abbey - Westport - Markree Castle
เราออกเดินทางจาก Amber Hill B&B ขับไปทางเส้น N59 Clifden
เริ่มเข้าสู่ Connemara แล้วhttp://www.connemara.ie/en/
อากาศเช้าวันนี้เมฆเยอะทีเดียวครับ ท้องฟ้าไม่ค่อยเปิดเลย
ถึง Roscahill แล้ว
รถรา ก็พอสมควรครับ
จากนั้นก็เข้าสู่ Oughterard ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ข้าง Lough Corrib ซึ่งเป็นทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์
และที่จุดนี้ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของ แนวเทือกเขา Connemara อีกด้วยครับhttp://www.oughterardtourism.com/
ขับไปเรื่อยๆ ตามป้าย
บรรยากาศภายในเมือง
ผ่าน Church of Immaculate Conception
อีก 53 km กว่าจะถึง clifden ครับ ท้องฟ้าเริ่มจะเห็นสีฟ้าๆ บ้างแล้ว
วิวข้างทางช่วงนี้สวยมากๆครับ เจอแบบนี้หายง่วงกันเลยทีเดียว
ยิ่งเจอเงาสะท้อนแบบนี้ กดแทบไม่ทันเลย
วิวช่วงนี้ สวยจริงๆ
ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นใจแล้ว
อิจฉาบ้านหลังนั้นมาก
ดูจาก gps จะเห็นว่ามี เลค เล็กๆ เยอะจริงๆ
ไป Kylemore Abbey เลี้ยวขวาได้ครับ เหมือนจะเป็นทางลัด แต่เราตรงไปก่อน
ขับอยู่ดีดี ก็เจอรถตำรวจขับตามมา นึกว่ามีอะไร จนขับแซงไป ถึงได้โล่งอก
เรามาแวะกันที่นี่ก่อนครับ Ballynahinch Castlehttp://www.ballynahinch-castle.com/
ดูแผนที่กันหน่อย ตอนนี้เราอยู่บริเวณนี้แล้ว
ปราสาทแห่งนี่เป็นโรงแรม 4 ดาว ที่ตั้งอยู่ใจกลาง Connemara ครับ
ห้องพักก็มีราคาตั้งแต่ 120-215 euro
เราขับผ่านเข้าไปในโรงแรม แล้วอ้อมออกมาทางด้านหลัง เป็นถนนแคบๆครับ
เพื่อจอดถ่ายรูปข้างทางกันที่มุมนี้
ถ้าน้ำนิ่งกว่านี้จะสวยมาก
รอสักครู่ แดดเริ่มมา ฟ้าก็เริ่มใส
จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปทางเส้น R341 Roundstone
เห็นทะเลแล้ว เราเริ่มเข้าสู่ Roundstone ละ
ทื่นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมง มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เช่น ชายหาดที่มีชื่อเสียงอย่าง Dog's Bay และ Gurteen Bayhttp://www.roundstone-connemara.com/
บ้านเรือนสีสันสดใสมาก
ท่าเรือเล็กๆ
เป็นเมืองที่สงบ ชอบจริงๆ อากาศดีมาก
มาดูแผนที่กันหน่อย
เราลัดเลาะเข้ามาในเมืองเรื่อยๆ เพื่อหาห้องน้ำ
จนมาเจอร้านนี้ เป็น Craft Shop ของคนผิวดำ ตอนเราไปถึงเค้าก็เพิ่งเปิดร้านพอดี
ด้านในก็มีของขายเยอะมากครับ ทั้งของที่ระลึกต่างๆ เยอะไปหมด
หลังจากแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อของกันแล้ว ก็ขึ้นรถเดินทางต่อครับ
แอบถ่ายสวนสวยๆ บริเวณที่จอดรถครับ (หน้าบ้านคนอื่น)
เดินทางกันต่อ
แถวนี้ กองหินเยอะเชียวครับ
ตอนนี้เราขับรถเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคอันกว้างใหญ่ กันอยู่
ดูแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นปราสาทเก่า หรือบ้านคน
ชายหาดแถบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโขดหิน
ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงมีสีส้มๆแดงๆ นะครับ อาจจะเป็นสาหร่ายอะไรสักอย่าง
เข้าสู่ Clifden แล้วครับhttp://www.clifdenchamber.ie/
เมือง Clifden เป็นเมืองที่อยู่บนชายฝั่งของ Co.Galway และถือเป็นเมืองหลวงของ Connemara
มี Owenglen River ไหลผ่านก่อนที่จะลงสู่ Clifden Bay
ผ่าน The Protestant church
เราใช้เส้น N59 ไปเรื่อยๆ
วิวสวยๆ ข้างทาง
เราจะตรงไปที่ Connemara National Park ก่อนครับ เพื่อหาที่ปิดนิคทานข้าวเที่ยงกัน
ส่วน Kylemore Abbey ก็อยู่ไม่ไกลจาก Connemara National Park เท่าไรครับ
ไปทางเดียวกันเลย
แปลกจริงๆ ตามทางไม่มีต้นไม้เหมือนบ้านเราเลยนะครับ มีแต่ทุ่งหญ้าเตี้ยๆ ซะส่วนใหญ่
มุมนี้จะเห็นยอดเขา Twelve Bens ซึ่งเป็นกลุ่มยอดเขา 12 ลูกครับhttp://connemara.galway-ireland.ie/twelve-bens.htm
ถึง Letterfrack แล้ว
ในที่สุดก็ถึงแล้วครับ Connemara National Park ตั้งอยู่ที่ Co.Galway ทางทิศตะวันตกของไอร์แลนด์
ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2957 เฮคเตอร์ ประกอบไปด้วยพื้นที่ภูเขา ป่าไม้ ทุ่งหญ้า มากมาย
และ บางส่วนของอุทยานเป็นภูเขา Benbaun, Bencullagh, Benbrack และ Muckanaght ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Twelve Bens เปิดให้เข้าชมเมื่อปี ค.ศ. 1980
ปัจจุบัน บางส่วนของ Connemara National Park อยู่ในพื้นที่ของ Kylemore Abbey Estate และ Letterfrack Industrial School
ที่เหลือเป็นพื้นที่ของเอกชนhttp://www.connemaranationalpark.ie/
ลองดูแผนที่ประกอบไปด้วย
หลังจากจอดรถเรียบร้อย เราก็เดินหอบสเบียงอาหารเข้ามาตามทางเลยครับ
มีพวกเด็กนักเรียนมาเป็นกลุ่มใหญ่
เปิดทุกวันตั้งแต่ March to October เวลา 9.00 am - 5.30 pm.
ไม่เสียค่าเข้านะครับ
ภาพวาดสวยๆ ระหว่างทางเดิน
ภายในมีสนามเด็กเล่นซึ่งมีเครื่องเล่นหลายอย่างครับ ส่วนใหญ่ทำจากไม้ และมีโต๊ะปิคนิค ซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็น Diamond Hill ด้วย
อาหารที่เราเอามาปิคนิค คือ มะกะโรนี ครับ นั่งทานไป ชมวิวไปบรรยากาศดีทีเดียว
จากนั้นก็ได้เวลาออกเดินทางต่อครับ (บอกแล้วว่าแค่มาหาที่นั่งกินข้าว)
เดินทางไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วครับ " Kylemore Abbey and Victorian Walled Garden "
ตั้งอยู่ที่ด้านบนสุดของ Inagh Valley โดยซ่อนตัวอยู่ระหว่างภูเขา ในเขตของ Connemara กับ มหาสมุทรแอตแลนติก
ซึ่งล้อมรอบไปด้วยป่า Oakwoods ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Pollacappul ที่สวยงาม
http://www.kylemoreabbey.com/
Kylemore Abbey เดิมเป็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1867 โดย Mitchell Henry และ Margaret Vaughan
ซึ่งสามี ภรรยาคู่นี้ได้เดินทางมาฮันนีมูน แล้วเกิดชื่นชอบธรรมชาติอันงดงามของ Connemara จึงตัดสินใจสร้าง Kylemore Castle ขึ้นมา
โดยใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 4 ปี ด้วยเงินทุน 29000 euro ตัวปราสาทมีพื้นที่ใหญ่กว่า 40000 ตร.ฟุต มีจำนวนห้องกว่า 70 ห้อง
ผนัง หลักด้านนอกก็มีความหนามากประมาณ 2-3 ฟุต ความยาวตัวปราสาท 142 ฟุต ซึ่งสร้างมาจากหินแกรนิตซึ่งนำเข้ามาทางเรือจาก Dalkey และหินปูน นำมาจาก Ballinasloe
ทั้งสองได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ 9 คน จนกระทั่งปี ค.ศ.1874 Margaret Vaughan ได้เสียชีวิตด้วยโรคบิด หลังกลับจากท่องเที่ยวกับครอบครัวที่ประเทศอียิปต์
Mitchell ผู้เป็นสามี จึงได้สร้าง Neo - Gothic Church และ Mausoleum ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก
และ ในปี ค.ศ. 1910 Mitchell Henry ก็จากโลกนี้ไปด้วยวัย 84 ปี ร่างของเขาและเธอได้ถูกเก็บไว้ด้วยกันที่ Neo - Gothic Church ตลอดกาล
สำหรับ Gothic Church พวกเราไม่ได้เข้าไปชมนะครับ เนื่องจากไม่มีเวลาพอhttp://www.kylemoreabbeytourism.ie/gothic-church
หลังจากนั้น Kylemore Castle ก็ถูกขายต่อให้กับ Duke และ Duchess of Manchester ในปี ค.ศ. 1903
และได้ทำการตกแต่งปราสาทใหม่ในสไตล์ Jacobean ซึ่งยังคงสไตล์เหมือนในปัจจุบัน
แต่ไม่นานปราสาทแห่งนี้ก็ถูกธนาคารยึด เนื่องจาก Duchess ใช้ชีวิตแบบหรูหรา ฟุ่มเฟือยเกินไป
จนกระทั่งปี ค.ศ.1920 เหล่าแม่ชี จาก Ypres เบลเยี่ยม ก็ได้ซื้อปราสาทเป็น Kylemore Abbey
เพื่อสอน และเผยแพร่ศาสนา ซึ่งถือว่าเป็น Benedictine Abbeys ที่เก่าแก่ที่สุดในไอร์แลนด์
ลองดูแผนที่ของ Kylemore Abbey กันก่อนครับ กว้างมากๆ
และอีกส่วนนึง (แผนที่ต่อกันนะครับ ซึ่งสวนจะพาไปชมในตอนหน้านะครับ )
ด้านหน้ามีร้านขายของที่ระลึกด้วยครับ Kylemore Abbey Gifts & Crafts
-----------------------
สำหรับค่าเข้าชม ต้องเดินเข้าไปด้านในสุดในส่วนของ Visitor Centre & Admissions
เวลาเปิดปิด 9.00am - 5.30pm
ค่าเข้าชม Adult 12 euro, Senior 9 euro
สำหรับช่วงเวลาอื่นๆ ดูเวลาเปิดปิด และ ค่าเข้าชมได้ที่นี่ครับhttp://www.kylemoreabbeytourism.ie/opening-times
น้ำในทะเลสาบ ใสแจ๋วทีเดียวครับ มีพืชน้ำจำพวก water lillies ปลูกอยู่ทั่วไป
ตามทางเดินเลียบทะเลสาป ก็จะมีป้ายแสดงชื่อพันธุ์ชนิดต่างๆ บอกไว้
เนื่องจากแถบนี้เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ครับ จึงมีนกอยู่หลายชนิด
มองย้อนกลับไปจากด้านหน้าทางเข้า
ถึงตัวปราสาทแล้ว
หินแกะสลักที่เหนือซุ้มประตูทางเข้า
มาดูแพลนกันก่อนครับว่า มีห้องอะไรบ้างในสมัยนั้นhttp://www.mitchell-henry.co.uk/kylemoreplan.html
เข้ามาสู่ด้านใน Entrance Hall ภายในตกแต่งด้วยไม้โอ๊คสีเข้ม ด้านหน้ามีโซฟาสีแดงสด ตัดกันดีจริงๆ
ถัดไปด้านในอีกล๊อกนึงเป็น Inner Hall ครับ เปรียบเสมือนโถง ซึ่งจะเชื่อมกับส่วนอื่นๆ ต่อไป
ตามห้องต่างๆ ก็จะมีป้ายแสดงประวัติความเป็นมาของปราสาทแห่งนี้
จาก Staircase Hall ด้านในที่เห็นคือ Saloon Hall ครับ เดี๋ยวเราก็จะย้อนกลับมาออกทางห้องนี้อีก
ภายใน Saloon Hall
เราเดินเลี้ยวขวาไปที่ Drawing Room กัน ห้องนี้อยู่หัวมุมเลยครับ
เดิมห้องนี้เป็นห้องเอนเตอร์เทน ของครอบครัว Henry ครับ แต่ภายหลังกลุ่มแม่ชี ได้ใช้เป็นห้องอ่านหนังสือ
มีรูปของ Margaret Henry Nee Vaughan ประดับบนผนัง
ถัดไปเป็นห้อง Community (or Middle) Room เดิมเป็น Breakfast Room และ Morning Room
ในภาพเสื้อคลุมทอมือปักดิ้นทอง ซึ่งเป็นฝีมือการเย็บของคณะแม่ชี
แต่ปัจจุบันได้ทุบกำแพงออก และใช้เสาโรมัน 2 ต้นมาแทนที่ ปัจจุบันใช้เป็นห้องจัดแสดงประวัติความเป็นมาของ The Benedictine Community
ในตู้ จัดแสดงหนังสือประกาศขาย Kylemore Castle ซึ่งเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1902
The Dining Room ของครอบครัว Henry ครับ
รวมไปถึง Service Room , Butler's Pantry, Plate Room, Glass and China Room
ชุดรับประทานอาหาร หรูหรา สวยงาม
ชุดเครื่องใช้ต่างๆ ล้วนแต่สลักชื่อย่อ MM ซึ่งก็หมายถึง Mitchell & Magaret ส่วนคำว่า PAX คือ Peace นั่นเอง
ถัดมาเป็นห้องเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Amte Room ซึ่งจะมีรูปปั้น St. Benedict โดยแกะสลักจากท่อนไม้ ซึ่ง บาทหลวงของ Glenstal Abbey ได้มอบไว้ให้ เมื่อปี ค.ศ. 1964
จาก Saloon Hall ออกมาจะเห็น Staircase Hall
คือย้อนออกมาทางเดิมที่เราเข้าไป
อีกซีกนึงของปราสาท เป็น Audio and Visual Room
ซึ่งแต่เดิมเป็นห้อง Library and Study Room ปัจจุบันใช้บอกเล่าความเป็นมาของ Kylemore Abbey ผ่านสื่อวีดีทัศน์
เราเดินวนรอบแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเดินทั่วแล้วหรือยัง แต่ไม่มีเวลาแล้วครับ
สำหรับวันนี้ขอจบ Kylemore Abbey ไว้ตรงนี้นะครับ คราวหน้าจะพาไปชมสวนภายในปราสาทกันต่อ
และพาไปนอนที่ ปราสาท Markree Castle ที่สวยสุดๆ กันด้วยครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น