วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

OLOS in IRELAND, i'LL BE THERE [Day8] " Powerscourt Garden and Waterfall, DUBLIN "

สวัสดีครับ 

หลังจากเก็บข้าวของออกจาก Markree Castle กันแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ

จากเมือง Sligo วันนี้เราจะเดินทางกลับไปพักที่เมือง Dublin ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้

เพื่อไปยัง Powerscourt Garden & Waterfall กันครับ

จากนั้นก็มากลับมาพักค้างคืนภายในตัวเมือง Dublin  พร้อมเดินเที่ยวตอนกลางคืนกันครับ

ไปเที่ยวกันต่อเลยนะครับ




แผนการเดินทางวันนี้  Markree Castle - Powerscourt Garden & Waterfall - Ariel House


หลังจากเก็บของเตรียมขึ้นรถกันเรียบร้อย ก็ได้เวลามุ่งหน้าไปยัง Dublin แล้วครับ


ก่อนออกเดินทาง ก็แวะปั้มเติมน้ำมันกันก่อน


อากาศวันนี้ เมฆเยอะเหมือนเคย  ระยะทางไปดับบลิน ก็ประมาณ 200 km ครับ ขับกันสบายๆ


แต่เมฆแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ


ตอนนี้เราเข้าสู่ Co.Roscommon แล้ว



มีท่าจอดเรือด้วย



ชอบใบไม้่เปลี่ยนสีจัง นานๆจะเห็นทีครับ ปกติเห็นแต่เขียวๆ


เมฆสวยมากเลยครับ เป็นลอนยาวเลย


แท๊กซี่ที่นี่มีแต่รถยุโรปทั้งนั้น


เรายังคงวิ่งกันอยู่ที๋ N4 ครับ  เหลืออีก 100 กว่ากิโล

ระหว่างทางก็ไม่ได้แวะที่ไหน ชมวิวไปเรื่อยๆ



เจอแก๊งค์จักรยาน แก๊งค์ใหญ่เลยครับ  คาดว่าคงไปทำกิจกรรมอะไรซักอย่าง


เข้าสู่ Co. Westmeath


ยิ่งเข้าใกล้ ดับบลิน เท่าไร รถก็ยิ่งเยอะ


แวะที่ปั้ม applegreen เพื่อเข้าห้องน้ำกันหน่อย

ในนี้ยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ฟู้ดเซนเตอร์ หลายร้านทีเดียว



เข้าทางด่วนครับ เตรียมจ่ายตังค์ฺได้เลย


เริ่มเข้าใกล้เมืองเข้าไปทุกที ตอนนี้เราเข้าสู่ทางด่วน M50 ครับ

ทางด่วนช่วงนี้ ยังไม่ต้องจ่าย ให้ไปจ่ายทีหลังก่อนกลับครับ เพราะเค้ามีกล้องจับไว้แล้วว่าทะเบียนนี้ใช้ทางด่วน



รถเยอะทีเดียวครับ ต้องมองป้ายกันดีดี ถ้าพลาด ต้องไปอ้อมกันไกลเลย


เป้าหมายเราไปทางเส้น  Wexford ครับ ซึ่งเลย Dublin ไปหน่อยนึง


ไม่ไกลมาก ก็จะเจอป้ายทางไป  Powerscourt Gardens


คุณป้าคนนี้ เปรี้ยวจริง ๆครับ  น้องหมาก็เช่นกัน


ผ่านเข้าไปในเมืองเล็กน้อย รู้สึกว่าวันนั้นจะหลง ขับเลยทางเข้าไปครับ


เลยต้องขับวนมา ถึงจะเจอทางเข้า


ทางเข้าสองข้างทางก็จะครึ้ม ๆ ไปด้วยแนวต้นไม้  เหมือนกำลังจะเข้าไปสู่ป่าดิบชื้น ยังไงยังงั้นเลยครับ


ชอบลายเหล็กดัดที่โคมไฟ


มีหมอกด้วยครับ ท่าทางแถบนี้อากาศจะชื้นจริงๆ


ถึงแล้วครับ  " Powerscourt Waterfall  "

ค่าเข้าชม    Adult 5 euro / senior 4.5 euro

เวลาเปิด - ปิด
Jan/Feb/Nov/Dec 10.30am - 4.00pm
Mar/Apr/Sept/Oct 10.30am - 5.30pm
May/Jun/July/Aug 9.30am - 7.00pm
http://www.powerscourt.ie/waterfall


ขับไปตามทางเลยครับ ฝนตกนิดหน่อยในช่วงก่อนที่เรามา


ขับเข้ามาถึงก็จะมีลานจอดรถ เราจะแวะทานมื้อเที่ยงกันบริเวณนี้ก่อน


มีม้านั่งใต้ต้นไม้ ให้เรามานั่งปิคนิคกัน  รวมถึงมีห้องน้ำ และ ร้านค้าเล็กๆ ในบริเวณนี้ด้วย


อาหารเที่ยงนี้ เป็น หมี่ผัดหมูใส่ไข่ หน้าตาน่ากินมั้ยครับ

ใส่พริกป่นอีกหน่อย อร่อยเลย



อิ่มแล้วเราก็ขับรถต่อไปอีกนิด เพื่อไปยังน้ำตก   ถึงแล้วครับ !!

" Powerscourt Waterfall "  ถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของไอร์แลนด์ มีความสูง 121 เมตร

เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของไอร์แลนด์ ตั้งอยู่ที่ตีนเขา ของ Wicklow Mountains

เดี๋ยวเราเข้าไปจอดใกล้ๆ กันครับ



ใกล้สุดๆเลยครับ  เห็นในรูปมีคนเอารถมาจอด เลยเอามาจอดบ้าง


ที่นี่มีคนมาพักผ่อนกันเยอะทีเดียว มีทั้งครอบครัว กลุ่มวัยรุ่น เปิดเพลงกันดังสนั่นเลย  ส่วนใหญ่เค้าก็มาปิคนิค มีทำอาหารกินกันที่นี่ด้วย


ตัวผมก็ถ่ายอยู่รอบนอกไกลๆ ครับ  ปล่อยสองตายายlove ไปถ่ายโพสท่ากันที่น้ำตกใกล้ๆ กันสองคน


จากนั้นเราก็ขับไปยัง " Powerscourt Garden " ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันครับ

จัดแจงซื้อตั๋วกันก่อน เก็บไว้ให้ดีนะครับ เพราะต้องใช้ผ่านเข้าไปชมสวนด้านใน
http://www.powerscourt.ie/powerscourt-gardens


ขับเข้ามาจอดรถที่ลานจอดด้านใน  ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Garden Pavilion

เดี๋ยวไปชมสวนเสร็จจะกลับมาเดินดูว่ามีอะไรในนั้นบ้าง



เดินตามทางไปเรื่อยๆ ไม่ไกลครับ ด้านซ้ายเป็นสนามกอล์ฟด้วย

พื้นที่เหลือเฟือจริงๆเลยนะเนี่ย



ถึงทางเข้าไปชม  Powerscourst House & Garden แล้วครับ

เรามาช่วงบ่ายแล้ว คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร



ตรงเข้าไปด้านในเลยครับ  พอถึงทางออกไปสวน ต้องใช้ตั๋วแตะสแกนก่อนออกไปชมสวน


ห้ามนำอาหารและอื่นๆ เข้ามาในบริเวณนี้  ใครที่คิดจะมานั่งปิคนิค คงอดนะครับ


มาด้านนอกก็จะเห็น Powerscourst House ที่เราเดินออกมา

ด้านขวาของรูปจะเป็น Powerscourst Garden



มีรูปปั้น ประดับอยู่ตามมุมต่างๆ หลายจุดเลย


แลนด์สเคปที่นี่ จะเน้นสนามหญ้ากว้างๆ เล่นระดับ มีทั้งเป็นเนิน เป็นกำแพง

ส่วนหญ้าก็เขียวดีจริงๆ คงต้องดูแลดีมาก




ที่ตั้งของ Powerscourt ตั้งอยู่บริเวณ  Wicklow Mountain 

ในส่วนของ Powerscourt House  สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1300 โดยตระกูล le Poer (Power)

หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนเจ้าของมาเรื่อยๆ  จนเมื่อช่วง 20 ปี ก่อน ได้เกิดไฟไหม้ที่ตัวบ้านบางส่วน

แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซม และได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด




รูปปั้นต่างๆ ที่ใช้ตกแต่งในสวนแห่งนี้  ถูกเก็บรวบรวมในสมัยศตวรรษที่ 19 มาจากหลายประเทศทั่วยุโรป  เพื่อมาใช้ตกแต่งสวนแห่งนี้โดยเฉพาะ


สวน ณ บริเวณนี้ คือ " Italian Garden "


ตกแต่งด้วยไม้พุ่มสวยงาม รวมถึงมีแปลงไม้ดอกอย่างลิลลี่ หลากสี  บนสนามหญ้าสีเขียวกว้างๆ สวยงามมาก


ทุกๆจุด ทุกๆรายละเอียดทั้ง การจัดสวน สโลป ต่างๆ ที่ช่วยในการระบายน้ำ  รุปปั้น แปลงดอกไม้ ของสวนแห่งนี้  รวมกันแล้วเพอร์เฟคมาก


ส่วนนี้อยู่บริเวณหลังบันไดทางเดิน ครับ ได้กลิ่นอายแบบอิตาลี เช่นเดียวกับสวนในบริเวณนี้


ลงมาด้านล่างจะมีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ครับ ด้านหน้ามี  Winged Horses ขนาดเท่าของจริง ตั้งอยู่เสมือนช่วยคุ้มครอง บ่อแห่งนี้


ด้านที่เราเดินมาจะเห็นว่า พื้นที่จะเป็นสเตปๆ ลงมาด้านล่าง ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังช่วยในการระบายน้ำด้วย


ตอนแรกจะเดินวนรอบสระ แต่กลัวจะไม่ทัน  เดินต่อไปทางซ้ายละกันครับ

ซึ่งก็คือสวนญี่ปุ่น " Japanese Garden "



สวนญี่ปุ่น แห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1908 ตกแต่งด้วย ศาลา ตะเกียงและสะพานหิน ได้บรรยากาศญี่ปุ่นเชียว


หลังจากชมสวนด้านนอกแล้ว กลับเข้ามาที่ตัว   Powerscourt House

ด้านในมีร้านค้า ให้เลือกซื้อของกัน



ได้แต่มองห่างๆ คาดว่าราคาคงสูงเหมือนกัน


จากนั้นเราก็กลับมาที่ Garden Pavilion กันอีกครั้ง


เดี๋ยวเข้าไปดูด้านในดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง


ที่แน่ๆ มีดอกไม้สวยๆ เยอะแยะเต็มไปหมด


ด้านในก็จะจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสวนทุกอย่างเลยครับ

ตกแต่งเป็นระเบียบ แยกหมวดหมู่อย่างชัดเจน



โซนขายเมล็ดพันธุ์ ว่าจะซื้อกลับมาเพาะดูแล้วครับ แต่ไม่เอาดีกว่า



โซนนี้ จะเป็นพวกวัสดุปลูกต่างๆ รวมถึงกระถางต้นไม้


นอกจากนั้นก็มีไม้กระถางเล็กๆ พร้อมปลูก ให้ซื้อกลับไปปลูกกันต่อที่บ้านได้ด้วย

เหมาะสำหรับคนรักต้นไม้ จริงๆ เลย



พวกไม้ดอกกระถาง อย่าง Geranium 6 ต้น 20 euro  ตกต้นละร้อยกว่าบาท ก็ไม่แพงเท่าไร


ต้นนี้น่าจะเป็นพวกไม้ดอกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ดอกสวยเชียว



ตุ๊กตาประดับสวน รูปสัตว์ต่างๆ  ก็มี น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย



โซนนี้ กล้วยไม้ ครับ มีแต่สวยๆ ทั้งนั้น


กลีบดอกสวยเกิ๊นนนน   ยังกับของปลอมเลยครับ  หลังจากเดินชมกันพอประมาณ ไม่ได้ซื้ออะไรซักอย่าง อิอิ

ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปยังที่พักคืนนี้ของเราแล้ว



ไปทาง M11 เข้าเมืองดับบลินกันเลย


" Dublin " เป็นเมืองหลวงของไอร์แลนด์  ที่มีครบทุกสิ่ง ทั้งศิลป ประวัติศาสตร์ อันเก่าแก่ ไปจนถึงความบันเทิงทุกรูปแบบhttp://www.visitdublin.com/




สำหรับที่พักคืนนี้หายากมากครับ กว่าจะลงตัว เพราะในเมืองมีแต่ราคาแพงๆ  เนื่องจากวันที่เราพักตรงกับวันเสาร์ ราคาก็จะแพงกว่าวันธรรมดา

จนมาเจอที่นี่ครับ ห้องดูดี ราคาโอเคแถมอาหารเช้าก็หน้าตาดูดีทีเดียว  ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบกินอาหารพวกนี้ก็เหอะ

เราจอง  SUPERIOR ROOM ราคา ห้องละ  79 euro รวมอาหารเช้าแล้วครับ
http://www.ariel-house.net/index


อาคารแถบนี้จะมีสถาปัตยกรรมแบบ วิคตอเรียนเยอะครับ

จอดรถกันที่ด้านหน้าตึกแล้วขึ้นไปเช็คอินกัน



ส่วนของห้องรับแขกครับ หรูมาก ไม่กล้ามานั่งเลย


เราได้ห้องที่ชั้นล่างครับ เดินตามซอกหลืบไปเรื่อยๆ  ผ่านประตูเล็กน้อยอีกหลายบาน งงเหมือนกัน


ได้ห้องสุดท้ายเลยครับ  ขอบอกว่าประตูที่นี่เปิดยากมาก  ทั้งตอนปิด และตอนเปิด

พอเข้ามาก็จะเจอตู้เสื้อผ้าหน้าห้องครับ มองมาทางขวาก็จะเห็นมุมนี้



เตียงนอนนอนสบายดีครับ เสียดายในห้องจะมืดไปหน่อยครับ  มีเพียงแสงจากโคมไฟแค่นั้น


ลวดลายของผ้าปูสไตล์ วิคตอเรียน ดูคลาสสิคมาก



ขนาดห้องก็โอเค ครับ ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก กำลังพอดีห้องน้ำอยู่ด้านซ้ายมือ


ภายในห้องน้ำครับ แคบไปนิด ถ่ายมาได้แค่นี้ อิอิ  ในห้องก็มี amenities ให้ครบครับ

ด้านซ้ายเป็นอ่างอาบน้ำ ด้านขวาเป็นอ่างล้างหน้า ด้านในสุด เป็นโถสุขภัณฑ์



หลังจากเก็บของกันเรียบร้อย ก็เดินออกมาเตรียมตัวไปสำรวจเมืองกันครับ

เดินออกมานิดเดียวก็เจอ " The Aviva Stadium "



ข้ามทางรถไฟมาไม่ถึง 100 เมตรก็เจอสถานี Dart ละครับhttp://www.dublin.ie/transport/dart.htm


จัดการซื้อตั๋วให้เรียบร้อย โดยไกด์คนเก่งของเรา


ด้านในก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากครับ  เสียอย่างเดียว พวกขี้เมาเยอะไปหน่อย


จากสถานี Dart มาลงที่ สถานี Tara Street

ขวามือของแผนที่ เราจะเดินตรงไปที่ O'Connell Street

แล้วเดินย้อนลงมาที่  Ha'Penny Bridge และเดินต่อไป Temple Bar



โผล่จาก Dart ก็เดินมาตามทาง มาเรื่อยๆครับ สภาพเมืองก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี


บริเวณ O'Connell Street ถนนสายสำคัญของเมือง Dublin

จุดนี้จะเห็น O'Connell Monument อยู่ด้านหน้าเลย



อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อ Daniel O'Connell ซึ่งเป็นผู้นำชาตินิยมของศตวรรษที่ 19 สร้างโดย John Henry Foley


ส่วนรูปปั้นนี้ ตั้งอยู่ บริเวณ O'Connell  Street ใกล้ๆ กับ The Spire of Dublin สร้างขึ้นให้กับ Sir John Gray Knt MD JP


รูปปั้นของ Jim Larkin ตั้งอยู่ด้านหน้า The General Post Office


เค้าเป็นผู้นำสหภาพแรงงาน และนักสังคมนิยมชาวไอริช ครับhttp://www.spartacus.schoolnet.co.uk/IRElarkin.htm


" The General Post Office " สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1818 ตั้งอยู่ช่วงกลางของ  O’Connell Street

อาคารสไตล์  Georgian ออกแบบโดยฟรานซิสจอห์นสัน   สร้างมาจากหินแกรนิตจาก Wicklow ด้านบนหลังคามี รูปปั้น ซึ่งออกแบบโดย  John Smyth

ถือเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไอร์แลนด์ทีเดียวครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/General_Post_Office_(Dublin)

http://www.anpost.ie/AnPost/History+and+Heritage/History/GPO+Dublin/



" The Spire of Dublin "

เป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่มีความสูงที่สุดของ Dublin มีความสูง 120 เมตร

สร้างขึ้นระหว่างเดือน ธ.ค.2002 - ม.ค 2003 เพื่อแทนที่  Nelson Pillar
http://www.thespireofdublin.ie/


บรรยากาศของ  O’Connell Street


รถรางภายในตัวเมืองครับ ที่ไม่มีโอกาสได้นั่ง


ระหว่างทางก็เจอการแสดงของชาวไอริช ครับ มีคนให้ความสนใจกันพอควรทีเดียว


เดินมาเรื่อยจนมาถึงที่ " Ha'Penny Bridge " หรือ  " Liffey Bridge "

สะพานนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1816 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเหล็กแห่งแรกของไอร์แลนด์

ที่ชื่อว่า ฮาเพนนีย์   เนื่องจากสมัยก่อน ต้องเสียเงิน เวลาข้ามสะพาน เป็นจำนวนครึ่งเพนนีย์ ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Ha'penny_Bridge


บรรยากาศยามเย็นสวยมากๆ ท้องฟ้าเป็นใจจริงๆ


บรรยากาศยามเย็นของ แม่น้ำ Liffey โรแมนติคทีเดียวครับ มีหลายคนมาเดินเล่น นั่งพักผ่อนกันแถวนี้


สะพานที่เห็นไกลๆ โน้นคือ " O'Connell Bridge " ครับ สร้างขึ้นเมื่อปี 1880


บนสะพานมีกุญแจคล้องตามลายเหล็กดัด ด้วยครับ คงได้รับอิทธิพลมาจากเกาหลี


จากสะพานข้ามถนนเข้าซอย  Merchant Arch  เพื่อไป Temple Bar กันครับ

มีดนตรีเปิดหมวกอยู่เป็นระยะเลย  แต่ไม่รู้ป้าคนนี้ อยู่วงนี้ด้วยหรือเปล่า



เดินมาในซอย คนเยอะทีเดียวครับ  มีแต่กลิ่นบุหรี่คลุ้งตลอดทาง


ซึ่งสำหรับคอเบียร์ ที่นี่มีเบียร์ยี่ห้อดังอย่าง Guinness จึงไม่ควรพลาดที่จะมาเยือน ไอริชผับ บริเวณนี้ด้วย


"Temple Bar "

มาจากชื่อของครอบครัว Temple เป็นผับไอริชที่เปิดมาเป็นเวลานานกว่า 160 ปี มีชื่อเสียงโด่งดังมากครับ
http://www.thetemplebarpub.com/


จากนั้นก็เดินทางกลับ ไปที่ Dart ละครับ  ที่นี่มีการรับพนันบอลกันด้วย


บรรยากาศ ที่ป้ายรถเมล์


บ้านเราน่าจะมีแบบนี้บ้างนะครับ บอกเสร็จสรรพ อีกกี่นาทีจะมาถึง


เริ่มมืด รถก็เริ่มเยอะเรื่อยๆ ครับ คงจะเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ ออกมาเที่ยว กินดื่ม กันแน่ ๆ


จากนั้นก็กลับเข้าที่พัก นอนหลับฝันดี ครับ 

วันนี้ขอจบไว้แค่นี้นะครับ  ตอนหน้าก็จะเป็นวันสุดท้ายของไอร์แลนด์ แล้ว  เวลาผ่านไปเร็วมากครับ  ติดตามชมตอนหน้าด้วยนะครับ



1 ความคิดเห็น:

  1. black titanium wedding band - Indian ART
    This is a custom titanium tube Black Stainless brass wedding band. Made in India. Made in India. Black stainless brass titanium helix earrings wedding band. nier titanium alloy The titanium earrings hoops design microtouch titanium is made in $49.00

    ตอบลบ