วันนี้ผมจะพาขึ้นรถ นั่งชมวิว สวยๆ กับเส้นทางที่ว่ากันว่า สวยที่สุดของไอร์แลนด์ กันครับ
มาดูซิว่าจะสวยเหมือนที่เค้าว่ากันหรือเปล่า
เส้นทางการเดินทาง ของวันนี้จะเริ่มจาก Cork มุ่งหน้าสู้เมือง Killarney เพื่อไปยังจุดหมายแรกของเราครับ ที่ " Ring of Kerry "
แพ ลนเราตอนแรกจากเมืองคอร์ค เราจะเลาะไปทางด้านใต้ตามขอบประเทศไปเรื่อยๆ ก่อน แต่ว่าจะเสียเวลามาก เราเลยเปลี่ยนเส้นทางตัดไปทางโน้นเลยดีกว่า
เราออกเดินทางจากเมือง Cork กันตั้งแต่ 7 โมงเช้าครับ และเพื่อความพร้อม ไปเติมน้ำมันกันให้เต็มถังกันซะก่อน
ราคาน้ำมันแถบยุโรปนี่ แพงเหมือนกันนะครับ อย่างรถของเราเติมน้ำมันดีเซล ราคาลิตรละ 1.439 euro ก็ประมาณ 60 บาท
จากนั้นก็ออกเดินทางกันเลยครับ วันนี้เป็นวันจันทร์ วันทำงานวันแรกของสัปดาห์ รถเยอะทีเดียว
เรามุ่งหน้าไปทางเส้น N25 เพื่อไปยังเมือง Killarney
พอเริ่มออกชานเมือง ถนนก็เล็กลง ได้เห็นธรรมชาติมากขึ้น
ผ่านเมืองเล็กๆ ระหว่างทาง บรรยากาศเงียบสงบดี
ชอบตึกที่นี่มากครับ สีสวยๆ น่ารัก
เห็นรุ้งตัวน้อย อยู่ตรงนั้นด้วย จะดีใจหรือเสียใจดี เพราะมันแสดงว่า ..
และแล้วสิ่งที่คิดไว้ ก็เป็นจริง บรรยากาศ ดำทะมึนมาแล้ว
แต่สีเทาๆ ตัดกับแนวต้นไม้สีน้ำตาลทอง ก็ดูสวยดีนะ
ไม่นาน ฝนก็ตกลงมา ฝนตกนี่ทำให้ถ่ายรูปไม่ได้เลยครับ ทั้งที่ปัดน้ำฝน ทั้งเม็ดฝน บังกระจกหน้ารถไปหมด
แต่ก็ดีอย่างนะครับ คือ ช่วยให้กระจกรถสะอาด ปราศจากขี้นก
อากาศที่นี่ คาดเดาไม่ได้ครับ จากที่ตกเมื่อกี้ แปบเดียวก็ หยุดตกซะแล้ว
เข้าสู่เมืองเล็กๆ อีกเมือง กำลังขุด ซ่อม ผิวจราจรอยู่เลย
บรรยากาศที่สดใส กลับมาอีกครั้งแล้ว เมฆที่นี่ก็สวยเหมือนกันนะ
ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ County Kerry แล้วครับ เคาน์ตี้นี้มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไอร์แลนด์
ได้แต่ภาวนา ให้ฟ้าใสแบบนี้ไปตลอดทาง
อีกเพียง 2 km ก็จะถึงเมือง Killarney แล้วครับ
การเดินทางของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมืองต่างๆ ที่เราจะขับรถวนรอบ มีเส้นทางดังนี้ครับ
Killarney - Killorglin - Caherciveen - Waterville - Caherdaniel - Sneem - Kenmare http://www.kerryholiday.co.uk/ring.html
เราตรงไปทางเมือง Killorglin บนทางหลวง N72 ด้านซ้ายจะแยกไปทาง Gap of Dunloe
ซึ่งเป็นเส้นทางช่องแคบระหว่างภูเขาระยะทางยาวกว่า 11 km มีทิวทัศน์ที่สวยงาม รวมถึงทะเลสาป ถึง 5แห่งเลยทีเดียวhttp://gapofdunloe.com/
นั่งรถชมวิวกันเพลินๆ
มีเลี้ยงสัตว์กัน ประปราย ตามทาง
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ มองไปทางไหนก็ดูสดชื่น
นั่งมาได้ซักพัก ขอแวะเข้าห้องน้ำ ที่ปั้มน้ำมันระหว่างกันหน่อย ส่วนใหญ่ก็จะมีห้องน้ำให้บริการทุกปั้ม นะครับ
บางปั้มก็อยู่ในมินิมาร์ท บางปั้มอยู่ด้านนอกแต่ล๊อคไว้ ต้องไปขอกุญแจมาเปิด
ส่วนตู้ที่เห็น เป็นตู้รับบริจาคพวกเสื้อผ้า ต่างๆ ประเทศเราน่าจะมีแบบนี้บ้างนะ
Laune Bridge เป็นสะพานที่เข้าสู่เมือง Killorglin
เมือง Killorglin ตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำ Laune ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหล Lough Leane ลงสู่ Dingle Bay
นอกจากนี้เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับงาน Puck Fair ซึ่งจัดให้ช่วงวันที่ 10-12 สิงหาคม ของทุกปีอีกด้วยครับhttp://www.puckfair.ie/
เรามุ่งหน้า ตรงไป ที่เมือง Cahersiveen กันเลย
ขับแบบไม่รีบเร่งอะไร ชมวิวไปเรื่อย
เห็นวิวแบบนี้ แล้วอยากมีบ้านอยู่ที่นี่ พอวันหยุดก็ออกมาขับรถเล่น คงมีความสุข
จนขับมาถึงจุดนี้ วิวสวยมากกกกกกก มีลำธาร พุ่มไม้ หลากสี ตัดกับดอกไม้สีเหลืองๆ ไม่แน่ใจว่าจุดนี้เค้าเรียกว่าอะไร
คุ้นๆ แต่หาข้อมูลไม่เจอครั
ไปกันต่อเลยครับ ตรงไปเลย
เวลาดูป้าย ด้านล่างสุดจะเป็นเมืองที่จะถึงลำดับต่อไปนะครับ
มีฟาร์มเลี้ยงแกะ ที่ตีนเขาด้วย
ด้านขวา เป็น Dingle Bay ส่วนแนวเทือกเขา เริ่มเห็นเป็นหมอกจางๆแล้ว
ตอนนี้เข้าสู่เมือง Kells แล้วครับ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ County Kerry
เป็นเมืองติดทะเล อยู่ระหว่างเมือง Glenbeigh กับ เมือง Cahersiveen
วิวสวยตลอดทางจริงๆ
ขับมาถึงวิวช่วงนี้เป็นวิวภูเขา พร้อมทุ่งหญ้าที่สวยมาก
สีสันของพุ่มไม้ ใบหญ้า มันช่างสวยงามจริงๆ
และเจ้าถิ่น พอเห็นพวกเราก็จ้องกันหมดทุกตัว
มองเผินๆ นึกว่าหมูยักษ์ ซะอีกครับ จริงๆเป็นวัว ขนปุยเชียว น่ารักมาก ให้เราถ่ายรูป ไม่เดินหนีไปไหนเลย
ชอบวิวแบบนี้จริง
เมฆดำเริ่มมาอีกแล้วครับ อากาศที่นี่คาดเดาไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้เราถึงเมือง Cahersiveen แล้ว ครับ Cahersiveen เป็นเมืองที่อยู่ช่วงกลาง ของเส้น Ring of Kerry
ตั้งอยู่ที่เชิงเขา Beentee mountain สามารถมองเห็น Valentia Harbour ได้อย่างชัดเจนจากที่นี่
นอกจากนั้น ที่นี่ก็เป็นบ้านเกิด ของ Daniel O' Connel ผู้กอบกู้อิสรภาพ ของไอร์แลนด์ อีกด้วยhttp://www.cahersiveen.com/
ในตัวเมือง ก็เต็มไปด้วยตึกสีสันสดใสเหมือนเคย เรียกว่าแทบจะทุกเมืองเลย
เมืองเล็กๆ แบบนี้ มีคนอยู่พอประมาณ ไม่มากเกินไป เป็นเมืองในฝันเลย
โบสถ์ที่เห็นชื่อว่า " The O'Connell Memorial Church "
ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Cahersiveen โบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1875
หนทางอีกยาวไกล
ทางก็ขึ้นๆ ลงๆ ลัดเลาะรอบเขาไปเรื่อย
เข้าสู่เมือง Waterville แล้วครับ เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศชายทะเล มีหาดทรายที่ละเอียดสวยงาม
ตั้งอยู่ระหว่าง Lough Currane และ Ballinskelligs Bay
เมืองท่องเที่ยวที่มีที่พักมากมายเลยครับ ผู้คนต่างก็มาสูดอากาศริมชายทะเลกัน
แม่ลูกแฝด 2 ก็ออกมารับอากาศดีดี เช่นกัน แต่ริมถนนแบบนี้ ก็น่ากลัวเหมือนกันนะ
ที่เมืองนี้เองที่ CHALIE CHAPLIN ดาราตลกระดับโลก ชื่นชอบ และมักมาพักผ่อนที่เมืองนี้
ชาวเมืองจึงได้สร้างรูปปั้นของ CHALIE CHAPLIN เพื่อเป็นเกียรติไว้บริเวณริมทะเลนี้ด้วย
รวมทั้งได้มีการร่วมจัดงาน CHALIE CHAPLIN Comedy Film Festival ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้อีกด้วยhttp://charliechaplincomedyfilmfestival.com/
บรรยากาศบริเวณริมทะเล ก็มีคนมาพักผ่อน เดินเล่นกัน อากาศดีจริงๆครับ แต่ไม่นาน ฝนก็เริ่มจะตกอีกแล้ว
เดินทางกันต่อ
เริ่มเห็นท้องทะเล
บริเวณนี้จะเห็น Iveragh Peninsula ส่วนเว้าของแผ่นดินได้อย่างชัดเจน
ตรงนี้เป็น Derrynane Bay และ Scariff Islands ที่เป็นเกาะเล็กๆ สองเกาะแหลมๆ ด้านขวามือ
ตอนนี้เรามาถึงเมือง Caherdaniel & Castlecove
เมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งของ Derrynane Bay ซึ่งอ่าวบริเวณนี้ก็เป็นศูนย์รวมของกีฬาทางน้ำต่างๆ มากมายเลยครับhttp://www.visitcaherdaniel.ie/
ในแผนที่ก็อยู่ตรงนี้
งดงาม
ที่เมือง Caherdaniel นี้ Daniel O'Connell ก็ได้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิต อยู่ที่ Derrynane House
ซึ่งเปิดให้ชมบ้านด้วยนะครับ แต่เราเข้าไปแล้วหาไม่เจอ เลยย้อนกลับออกมาคืน
เดินทางต่อครับ ฟ้ายังใสอยู่
เริ่มเข้าสู่เมือง Sneem
Sneem เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีสีสัน น่ารัก เงียบสงบ และโรแมนติค มากๆครับhttp://www.sneem.net/
เราแวะพักที่เมือง นี้ เพื่อทานมื้อกลางวัน
อาหารของเรามื้อนี้
อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูปเล่น
มีห้องน้ำสาธารณะด้วยนะครับ สะอาดมาก
เป็นเมืองเล็กๆ อยู่แบบเรียบง่าย ไม่ต้องมีห้างใหญ่โต น่าอยู่จริงๆ
ถ่ายรูปกันเสร็จ ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว
ต้นนี้รูปร่างแปลกๆนะครับ มีพู่ๆ คล้ายๆไม้กวาดห้อย
จาก Sneem เราวิ่งไปเส้น R568 เพื่อไปยัง Kenmare แม้จะอ้อมกว่านิดหน่อย แต่แลกกับวิวที่สวยกว่า
ฝุงแกะเล็มหญ้ากันอย่างสบายใจ เห็นลูกแกะตัวน้อยหลายตัวเลย
เล็มหญ้ากันริมถนนเลย
วิวสวยมาก
เริ่มเข้าสู่ ภูเขาที่กว้างใหญ่ เดาว่าน่าจะเป็น Black Valley
เหมือนเราตัวเล็กนิดเดียว เมื่ออยู่ท่ามกลาง ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
Moll's gap เป็นเส้นทางผ่าน จาก Kenmare ไปยัง Killarney จากจุดนี้สามารถมองเห็น Macgillycuddy's Reeks
ซึ่งมีวิวที่สวยงามมัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมแวะชมทัศนียภาพ กันที่นี่ครับhttp://www.adopt-a-sheep.ie/Molls_Gap/MollsGap.html
Moll's gap ตั้งมาจากชื่อ ของ " Moll Kissane " ซึ่งได้เปิดผับเล็กๆ ในช่วงที่มีการสร้างถนนจาก Kenmare ไปยัง Killarney
ในช่วงปี ค.ศ. 1820 และผับของเธอก็มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ วิสกี้ โฮมเมดมากในช่วงนั้น
จาก Kenmare เรากำลังมุ่งหน้าสู่ Bantry
ผ่านตัวเมือง Kenmare ตึกต่างๆสีสันสวยงามเหมือนกันทุกเมือง
เรามุ่งหน้าไปทาง Glengarriff
หน้าตาของที่ทำการไปรษณีย์ ที่นี่ครับ รวมทั้งรถส่งไปรษณีย์ สีเขียวๆ ดูทันสมัยมาก
มุ่งหน้าไปทาง Ring of Beara แต่เราไม่ได้วนในเส้นนี้นะครับ ต้องมีเวลาอีกวันเลยทีเดียวhttp://www.bearatourism.com/ringbeara.html
ทางหลวง N71 ครับ อีก 44 km ครับ
เห็นป้ายส้มๆ ด้านหลังมั้ยครับ คือ ข้างหน้าจะมีอุโมงค์ ด้วย
ผ่าน อุโมงค์เล็กๆ
เราขับลัดเลาะไปเรื่อยๆ ผ่าน Kenmare Bay สภาพอากาศตอนนี้ฝนตกตลอดทาง
เจ้าตัวนี้อยู่ริมข้างทาง ถ้ามาตอนกลางคืน คงตกใจน่าดู
เริ่มเข้าสู่เมือง Glengarriff แล้ว เมืองนี้ถือเป็นเมืองตากอากาศอีกแห่ง ที่มีชื่อเสียง http://www.glengarriff.ie/
เปียกตลอดทาง อีก 18 km
เข้าสู่เมือง Bantry แล้ว
เมืองนี้ตั้งอยู่ใจกลาง West Cork
เป็นเมืองที่มีภูมิอากาศชุ่มชิ้น มีพืชพันธุ์นานาชนิดทั้ง ปาล์ม ดอกไม้เขตกึ่งร้อนhttp://www.bantry.ie/
http://www.westcork.com/bantry-tourism/
ถึงแล้วครับ Bantry House & Garden
http://www.bantryhouse.com
ปกติซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่นี่ครับ แต่วันนี้เหมือนว่า ต้องเข้าไปซื้อด้านในครับ
โดยแต่ละปีเปิดเฉพาะช่วงวันที่ 17 มี.ค.- 31 ต.ค. เท่านั้น
ด้านขวามีสวน ซึ่งการออกแบบสวนที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ยุโรป http://www.bantryhouse.com/gardens.htm
มีน้ำพุเล็กๆ เป็นจุดเด่นอยู่ที่กลางสวน
Bantry House
ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.1700 และเริ่มเปิดให้เข้าชมเมื่อปี ค.ศ. 1946
จนกระทั่งปี ต.ศ.1990 ได้เปิดให้บริการที่พักแบบ Bed & Breakfast
ปัจจุบันถูกครอบครองโดยครอบครัว Egerton Shelswell-Whitehttp://www.bantryhouse.com/house-history.htm
Tea room
Serving light lunches and teas
10am-5.30pm dailyhttp://www.bantryhouse.com/tearoom.htm
บรรยากาศ เหมือนบ้านพักตากอากาศสุดหรูเลย
เดินมาเข้า ที่ด้านหน้าของตึก
เข้าไปซื้อตั๋วกันก่อนที่โถงด้านในครับ
ค่าเข้าชม Adults 10 euro / Concessions,Groups 8 euro
เปิดปิดเวลา 10.00 a.m. - 6.00p.m
Rose Drawing room
ห้องรับแขก หรูหรามาก
พรมที่ประดับอยู่บนผนัง (The rose-coloured tapestry)
เป็นพรมที่ทำขึ้นสำหรับ งานอภิเษกสมรสของพระนางมารีอังตัวเนตต์ กับ Dauphin of France เมื่อปี ค.ศ. 1770
Gobelins room
ก็มีพรมประดับตกแต่งอยู่เช่นกัน
The anteroom
เป็นห้องเก็บของสะสม รวมถึงของที่ระลึกต่างๆ ของตระกูล White
Dining room
แค่เห็นสีสันของห้องนี้ ก็ตกหลุมรักเข้าซะแล้ว
แน่นอน ห้องนี้เป็นห้องรับประทานอาหาร ครับ ผนังตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินสด
โต๊ะอาหารก็ถูกตกแต่งด้วยถ้วยชาม กระเบื้องเคลือบที่มีลวดลายสวยงาม
ผนังโดดเด่นด้วยกรอบรูปสีทองอร่าม เป็นภาพของ King George ที่ 3 และ Queen Charlotte
ของตกแต่งแต่ละชิ้นล้วน หรูหรา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
โดยรวมผมชอบการตกแต่งห้องนี้มากที่สุด
ขึ้นไปชมชั้นบน กันบ้าง
พอขึ้นมาด้านบน ก็พบกับตู้ใบนี้ มีนกสต๊าฟหลายชนิดเลย
ชั้นบนเป็นส่วนของห้องนอน
มาชมห้องแรกนี้กันก่อน ครับ โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นเตียงนอน
East Bow Dressing Room
West Bow Dressing Room
มีบ้านตุ๊กตาด้วย
West Bow room
ห้องนี้เปิดเข้ามาก็ รู้สึกสดใส ด้วยสีเหลืองของผนัง
เตียงนอน สวยงามไม่แพ้ห้องอื่นเลย
ลงไปด้านล่างกันต่อครับ พรมสวยมาก คลาสสิคสุดๆ เลยครับ
เราไปชมต่อที่ห้องด้านในโน้นกันดีกว่า
ห้องนี้คือ Library room
มีตู้หนังสือสำหรับเก็บหนังสือเก่า อย่างดี
ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงวอลเปเปอร์ ที่หรูหรามาก
หลังจากชมจนทั่วบริเวณแล้ว ลงมาที่ด้านนอกกันดีกว่า
ด้านนอกก็มีสนามหญ้า พร้อมรูปปั้นประดับอยู่ วิวด้านหน้าเป็นทะเลสาบ
มีดอกไม้ สวยๆ ที่สร้างความสดใสให้กับสวน
มองกลับไปที่ ตัวตึกที่เราได้ไปชมมาเมื่อสักครู่นี้
แบบ panorama กันบ้าง
ออกจาก Bantry House เรามุ่งกลับ Kenmare กัน
กลับเส้นทางเดิม ขับผ่านขึ้นลงตามเขา วิวเป็นทะเลสาบ เป็นช่วงๆ
ตอนขามา ฝนตก วิวไม่ค่อยเห็นเท่าไร ขากลับนี่ฟ้าแจ่ม
อุโมงค์ที่เราผ่านมาตอนขามา
ตรงนี้มีหิน รูปร่างคล้ายคนเลยครับ Druids View เป็นจุดชมวิวอีกแห่ง
อีก 13 km ก็จะถึงเคนแมร์ แล้ว
เข้าสู่ Kenmare กันแล้วครับ http://www.kenmare.eu/
บรรยากาศในตัวเมือง มีที่พัก ร้านอาหาร ผับ บาร์ครบเลย
ก่อนเข้าที่พัก แวะไป Supervalu ซื้อของสดกันก่อน
พวกเนื้อไก่ แพคละ 3 euro 2 แพค 5 euro
ก็ไม่แพงมากเท่าไร ได้ของครบแล้ว เตรียมเข้าที่พักกันเลย
ถึงที่พักแล้วครับ ที่นี่มีที่พักหลายแบบ ทั้งในส่วนของโรงแรม , Holiday Lodge และ Holiday Home
เราพักกันที่ Kenmare Bay Holiday Home ครับ
เราพักกันที่นี่ 2 คืนด้วยกันครับ ราคาก็ไม่แพง 2คืน แค่ 219 euro
มัดจำไป 21.9 euro ที่เหลือชำระเมื่อเข้าพักครับ
ไปเช็คอินกันที่ล๊อบบี้ โรงแรมกันก่อน
ในส่วนของ Holiday Home ที่พักระดับ 4 ดาว มีเกือบ 20หลังได้ครับ
อยู่ด้านขวามือของโรงแรมครับ ใกล้นิดเดียว นอกจากนั้นที่นี่ก็อยู่ใกล้ตัวเมืองด้วย ไปไหนก็สะดวก
เข้าบ้านพักกันก่อน
หลังนี้มี 2 ชั้น มาดูชั้นล่างกันก่อนครับ เข้ามาด้านในก็จะเป็นโถงเล็กๆ ด้านหน้า
ด้านซ้าย หลังบันได เป็นห้องน้ำ
เลี้ยวซ้ายก็จะเป็นส่วนของ Living room มีทีวี /dvd รวมถึงเตาผิง
ด้านหลังเป็นส่วนของโต๊ะรับประทานอาหาร
และครัวสำหรับทำอาหาร พร้อมอุปกรณ์ครบ ทำอาหารกันสนุกเลย
ด้านหลังบ้านก็จะมีโต๊ะไม้ พร้อมสนามหญ้าเล็กๆ แต่ไมได้นั่งหรอกครับ
อากาศเย็นๆ มานั่งในบ้านอุ่นกว่าเยอะ
ไปชั้นบนกันบ้างครับ มีทั้งหมด 3 ห้องนอน
ห้องแรก Single room ขึ้นบันไดมาก็เจอเลย ห้องไม่ใหญ่มากครับ นอนได้คนเดียว
ถัดไปเป็น Twin Room ห้องนี้นอนได้ 2 คน
ตกแต่งง่ายๆ แต่ก็ดูดี
และห้องสุดท้าย เป็นห้องใหญ่ Master en-suite double room นอนได้ 2คนครับ
ผมก็ไปเอาเบาะที่โซฟา มานอนที่ห้องนี้ล่ะ
ตกแต่งเรียบง่ายด้วยโทนสีพาสเทล สวยดีครับ จริงๆ ห้องเรียบๆ แบบนี้
ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ก็สวยได้ อย่างว่ามันอยู่ที่ เทสคนตกแต่งจริงๆ
ห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำในตัว
ส่วนของ shower ครับ ห้องก็ไม่ใหญ่มาก แต่ก็สะดวกสบายดี
และมีอีกห้องน้ำอีกห้องนึงอยู่ด้านนอก ที่ใหญ่กว่าห้องนั้นหน่อย
ใช้ร่วมกันระหว่างห้องนอน 2 ห้องที่เหลือ
มีอ่างอาบน้ำ พร้อม shower
อาหารของเราเสร็จแล้ว น่ากินไหม
กินมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย อาบน้ำเรียบร้อย ก็ไปนั่งรอที่ล๊อบบี้ รร. เพื่อรอถ่ายรูปช่วงทไวไลท์
ระหว่างรอ ก็นั่งอัพเฟซ กันที่นี่ เพราะที่บ้านพัก ไม่มีสัญญาณ
พอได้เวลา ออกไปถ่ายรูปด้านนอก อากาศหนาวมาก
รีบๆ ถ่ายครับ มือเย็นมาก บรรยากาศแบบนี้ก็พอได้นะครับ
ตึกด้านขวาสุดไกลๆ ที่เหมือนทาวน์โฮม นั่นเป็นส่วนของ Kenmare Bay Holiday Lodge ครับ
แตกต่างจากที่ที่เราพัก ตรงการตกแต่งของ Lodge จะหรูกว่า Home และแน่นอน ราคาแพงกว่าด้วย แต่มีห้องนอน แค่ 2ห้องใหญ่ครับ
หลังจากถ่ายเสร็จก็รีบเข้าที่พักนอนละครับ เพราะอยู่นานจะแข็งตายก่อน
มื้อเช้าของวันใหม่ เป็นข้าวผัดไก่ ครับ น่ากินมั้ย เสียดายไม่มีพริกน้ำปลา แต่แค่นี้ก็อร่อยสุดๆ
ขอจบรีวิววันนี้ไว้ที่ แสงยามเช้าสวยๆ นะครับ ครั้งหน้าจะพาไปชมวิวสวยๆ อีกครั้ง แต่ที่ไหนต้องรอชมนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น