คราวก่อนเราไปชม Kylemore Abbey กันมาแล้วนะครับ
วันนี้เรายังอยู่ที่เดิม แต่จะพาไปเที่ยวในส่วนของ Victorian Walled Garden กันนะครับ
หลังจากนั้นเราก็ตรงดิ่งไปยังที่พักที่เมือง Sligo ซึ่งเป็นปราสาทเก่า ที่มีชื่อว่า Markree Castle
จะสวยงามน่าพักขนาดไหน ต้องติดตามชมครับ
จากแผนที่ Kylemore Abbey อยู่ทางด้านขวามือ เราจะเดินทางไปยัง Victorian Walled Garden ทางซ้ายมือของแผนที่
ตามเส้นสีแดงๆ ด้านบนกันนะครับ
การเดินทางไปชมสวน " Victorian Walled Garden " สามารถไปได้ 2 แบบ
คือ เดินเท้า ระยะทางประมาณ 1 ไมล์ หรือไม่ก็ขึ้นรถบัสไปครับ ซึ่งรถจะออกทุกๆ 15 นาทีhttp://www.kylemoreabbeytourism.ie/shuttle-bus
นั่งมาเรื่อยๆ ชมวิวสวนป่าข้างทาง ไม่เกิน 10นาที ก็ถึงแล้วครับ http://www.kylemoreabbeytourism.ie/kylemoreabbey-victoriangardens
มาดูแผนที่ภายในสวนกันคร่าวๆ ก่อน
ใกล้ๆ กันจุดจอดรถบัสจะมี Tea House ครับ แต่ตอนนี้กำลังปรับปรุงอยู่ครับ
สำหรับทีเฮ้าส์เปิดเฉพาะ พ.ค.- ก.ย.เท่านั้นครับhttp://www.kylemoreabbeytourism.ie/garden-tea-rooms
วันนี้มีคนมาชมบ้าง แต่ก็ไม่เยอะเท่าไรครับ เดินชมกันสบายๆ แต่ต้องรีบทำเวลาหน่อยครับ เพราะเราต้องเดินทางอีกไกล
สวนนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 6 เอเคอร์ ครับ สร้างขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1867-1871 โดย Mitchell Henry
ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่มีการก่อสร้าง Kylemore Castle คือ สร้างพร้อมๆ กันนั่นเอง
ที่นี่เป็นสวนแห่งสุดท้ายของไอร์แลนด์ที่สร้างขึ้นในสมัยวิคตอเรียน และเป็นสวนแห่งเดียวของไอร์แลนด์ที่ตั้งอยู่ใจกลางที่ลุ่ม
" The Formal Flower Garden "
เป็นตัวอย่างของการจัดสวน ในปลายสมัยวิคตอเรียน
ลักษณะของสวนจะเป็นสนามหญ้าสีเขียว ขนาดใหญ่ครับ มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังทุกๆ จุดของสวน
มีไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม ปลูกกระจายอยู่ทั่วไป มีแปลงปลูกไม้ดอกจะมีรูปทรงต่างๆ
ซึ่งไม้ดอกแต่ละชนิดเป็นไม้ล้มลุกอายุสั้น เมื่อตายไป ก็จะมีไม้ดอกชุดใหม่มาหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนทุกปี
" Original Walled Garden Entrance Gate "
บริเวณนี้สมัยก่อนเป็นประตูหลักของสวย ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่ง Mitchell Henry ใช้ประตูนี้ขี่ม้าผ่านเข้ามาในบริเวณสวน
และทางเดินจากประตูหลักนี้ ได้แบ่งสวนออกเป็นสองฝั่ง คือ สวนทางทิศเหนือ กับสวนทางทิศใต้
สำหรับกำแพงของสวนทางด้านทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก นี้สร้างมาจาก Limestone มีความยาวกว่า 800 เมตร และใช้อิฐนำเข้าจาก Glasgow
ซึ่งจะช่วยเก็บความร้อน ทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น ส่วนในหน้าหนาวจะช่วยให้พืชไม่แข็งตาย
สนามหญ้าในสวนแห่งนี้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ให้สวยงามตลอดเวลา
ดอกไม้สวยๆ
จากจุดนี้มองไปยังทางเข้าที่เราเดินเข้ามา จะเห็นว่าสนามหญ้าจะโล่งๆ เน้นพื้นที่ปลูกหญ้ามากกว่า ไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ
ด้านซ้ายจะเห็นแนวรั้วที่กั้นโดยรอบของสวน ซึ่งช่วยเก็บความร้อน ทำให้อุณหภูมิของต้นไม้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตด้วยครับ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่เรียกว่า Walled Garden รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยด้วย
ตอนนี้เราเข้ามาสู่ส่วนของ โรงเรือนแล้วครับ ซึ่งมีทั้งหมด 21 โรง แต่ถูกบูรณะเพียงแค่ 2 โรงเท่านั้น
มาเริ่มกันที่อันแรกกันเลย เป็น " Glasshouse & Vinery " แต่ทางเข้าอยู่ด้านใน เดี๋ยวเราไปชมกัน
บริเวณนี้เราจะเห็นซากอันเก่า คาดว่าคงมีการปรับปรุงซ่อมแซมอยู่เรื่อยๆ
เข้ามาสู่ส่วนของ Vinery เป็นโรงเรือนขนาดเล็กครับ ภายในก็ปลูกพวกไม้เมืองร้อนต่างๆ
โรง เรือนแบบนี้จำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิ โดยใช้หม้อต้ม และเดินท่อน้ำร้อน ใต้ดิน เพื่อให้ได้สภาวะที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืขเขตร้อน
ภายในโรงเรือนก็จะมีพืชพวก กล้วย แตงโม องุ่น และพืชเมืองร้อนอื่นๆ
และเจ้าเหมียวตัวอวบ นอน หลับตาพริ้ม ขี้เซา อยู่บนกระถางต้นไม้ ไม่ยอมสนใจเราเลย
" Lime Kiln "
Mitchell Henry ได้มีไอเดีย ในการใช้ เตาเผา เพื่อที่จะให้ความร้อนกับโรงเรือน
โดยใช้ Lime Stone มาเป็นเชื้อเพลิง เพื่อที่จะผลิตน้ำร้อนส่งผ่านท่อเหล็กขนาด 4 นิ้ว โดยท่อจะฝังอยู่ใต้โรงเรือนแต่ละแห่ง
และส่งความร้อนผ่านดิน รวมถึงแผ่นทองเหลืองวงกลมที่ประดับอยู่บนพื้น ซึ่งยังคงเห็นอยู่บ้างในปัจจุบัน
ส่วนซากที่เหลือจากการเผา ก็จะนำไปทำเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ครับ
รวมถึงการปักชำซึ่งจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของราก
ตามทางก็จะมีดอกไม้ปลูกอยู่ในกระถางเล็กๆ ครับ น่ารักเชียว
หรือแม้แต่บนกำแพง ก็ยังมีไม้ดอกเล็กๆ ที่ ผลิดอกอวดโฉม ให้เราได้ชม
โรงเรือนบางส่วนกำลังรอการปรับปรุงซ่อมแซม
" Bothy, Head Gardener's Cottage and Outbuilding "
Tool Shed (Outbuilding)
เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการทำสวน
อุปกรณ์ต่างๆ ดูเก่ามากๆ ครับ ก็ตั้งแต่สมัย 100 กว่าปีก่อนนี่นา
Bothy เป็นบ้านสไตล์ cottage หลังเล็กๆ สำหรับคนงาน ซึ่งในอดีตมีคนสวน อยู่กันในบ้านหลังนี้อย่างต่ำ 6 คนต่อหลัง
แม้จะมีพื้นที่เล็กๆ ธรรมดา เรียบง่าย แต่บ้านหลังนี้เป็นทั้งที่พักผ่อน ที่กิน ที่นอน ทำอาหาร ซักผ้า
ซึ่งสามารถสะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในสมัยวิคตอเรียน ที่ทำงานหนักนั้นได้เป็นอย่างดี
Head Gardener's House
สำหรับ หัวหน้าคนสวน จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ที่มากกว่าแรงงานทั่วไป บ้านพักก็จะแตกต่างกันตามระดับชั้นของการทำงาน
ห้องนั่งเล่นสวยๆ ไว้สำหรับเฝ้าดูคนงาน
ห้องรับประทานอาหาร เล็กๆ แต่สวยงาม
ห้องนอนภรรยา สีชมพูหวานเชียว
ปลายเตียงมีเตียงสำหรับเด็กทารก
ห้องนี้คงเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำสวน
ห้องครัว ครับ สวยเกิ๊นน ผนังสีเขียวๆ ก็เย็นตาดี
" Mountain Stream & Informal Woodland "
ตอนนี้เราเข้ามาสู่ในส่วนของสวนสมุนไพรแล้วนะครับ ซึ่งสวนนี้จะถูกแบ่งพื้นที่จากสวนดอกไม้ ด้วย ลำธารเล็กๆ จากภูเขา
นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีสวนป่า ที่ถูกปลูกขึ้นเพื่อป้องกันลม ที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับสวนดอกไม้ด้วย
ซึ่งสวนป่าเหล่านี้ มีไม้ยืนต้นมากมาย ทั้ง OAK, ASH,ELM, BEECH, CONIFERS
" Kitchen & Herb Garden "
พื้นที่ในสวนถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนสำหรับ ปลูกผัก, ผลไม้, สมุนไพร และไม้ตัดดอก เพื่อส่งผลผลิตให้ตามความต้องการในปราสาท
ในส่วนของ ผัก ผลไม้ และสมุนไพร จะปลูกในแปลงที่ยกสูงขึ้นมา เพื่อความสะดวกในการระบายน้ำ ซึ่งถือเป็นระบบการปลูกพืชของ Connemara
สำ หรับพวกพลัม เชอรี่ ลูกแพร์ จะปลุกตามแนวรั้ว ซึ่งเป็นแนวคิดของ Wall Garden ที่ก้อนอิฐตามแนวรั้วจะเก็บความร้อนไว้ ทำให้ผลไม้เหล่านี้สุกเร็วขึ้น
มีพืช ผักสมุนไพรหลายชนิด
" The Herbaceous Border "
เป็น แนวรั้วไม้ดอก แบบ perrennial plants (ไม้ดอกที่หลังดอกโรยไปแล้ว สามารถเจริญเติบโตใหม่และผลิดอกได้เองในฤดุถัดไป โดยไม่ต้องปลูกใหม่)
ซึ่งเป็นแนวไม้ดอก สองฝั่งที่ยาวที่สุดในไอร์แลนด์ สร้างความสดชื่นให้กับผุ้คนที่ได้พบเห็น
และสมัยยุควิคตอเรียน ยังใช้แนวดอกไม้นี้ เป็นที่บังพวกสวนครัว รวมถึง เวลาคนสวนทำงาน
" Fern Walk and Stream "
เข้า สู่ในส่วนของเฟิร์นกันบ้างครับ ที่นี่มีทั้งร่มเงาของป่า และลำธารไหลเย็น ซึ่งช่วยให้บริเวณนี้ชุ่มชื้น เหมาะกับการเจริญเติบโตของพวกเฟิร์นเหล่านี้
ชอบจุดนี้ที่สุดเลยครับ เย็นๆ มีลำธารเล็กๆไหลผ่านด้วย
เดินชมต้นเฟิร์นหลากหลายชนิดไปเรื่อยๆ
เหมือนเข้าสู่โลกดึกดำบรรพ์ กันเลยทีเดียว
" Southern Shrub Border "
เป็น แนวไม้พุ่มที่ปลูกตลอดแนวกำแพงทางด้านทิศใต้ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นไม้พุ่มที่มีดอกสวยงาม ซึ่งรูปแบบของการจัดวาง เป็นแบบที่นิยมในสมัยวิคตอเรียน หรือปลายศตวรรษที่ 19
โดยบางจุดจะ เป็นไม้พุ่มที่ถูกปลูกเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ โค้งตามม้านั่งไม้ ซึ่งเป็นจุดพักที่สวยงาม สามารถชมวิวของสวนไม้ดอก และ โรงเรือนได้
ดอกสีชมพู สวยดี
ยืนรอรถบัส เพื่อเตรียมตัวกลับแล้ว
ออกเดินทางกันต่อครับ มุ่งหน้าสู่ที่พักของเรา
Leenane เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตอนต้นของ Killary Harbourhttp://leenane.galway-ireland.ie/
ที่นี่นอกจากจะมีวิวสวยงาม ยังเป็นแหล่งตกปลาที่สำคัญด้วย
บรรยากาศในเมือง Leenane
ภูเขาลูกใหญ่ กับเลคแบบนี้ ดูไปก็นึกถึง นิวซีแลนด์เหมือนกัน
นั่งชมวิวกันต่อ
ถึง County Mayo แล้วครับ http://www.mayo-ireland.ie/
วิวสวยมากครับ ช่วงนี้
เข้าสู่เมือง Westport แล้วครับ Westport ตั้งอยู่บนชายฝั่งของ Clewbay เป็นเมืองที่ถือเป็นเมืองมรดกของไอร์แลนด์
เมืองนี้ได้รับการวางผังเมืองโดย James Wyatt ซึ่งเป็น 1 ในไม่กี่เมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างดี http://www.myguideireland.com/westport
ภายในตัวเมือง Westport
ไหนๆ ก็เข้าเมืองแล้ว เจอ Dunness store แวะซื้อของสดกันก่อน
มุ่งหน้าไปทางเส้น N5 เรื่อยๆ ครับ คงอีกซัก ชั่วโมงคงจะถึง
บรรยากาศระหว่างทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ
ตอนนี้เมฆกำลังสวยเลย
เจอทางเข้าแล้วครับ " Markree Castle "
ประตูรั้วทางเข้า ที่จะพาเราเข้าสู่ปราสาท ดูเก่าๆ ขลังดี
เมื่อข้บเข้ามาก็จะพบพื้นที่กว้างใหญ่แบบนี้
เจอคนกำลังขี่ม้าอยู่ เห็นรถเรามา รีบขี่หลบเลย
เดี๋ยวเข้าไปจอดรถ กันก่อน
ตัวปราสาทดูเก่ามากครับ ไม่รู้ข้างในเป็นไงบ้าง
จากนั้นก็เข้ามาเช็คอินกันให้เรียบร้อย ภายในดูหรูหรา สมกับเป็นปราสาทเก่าจริงๆ
เจ้าหญิงเจ้าชาย แห่งนครสกล พักกันบนปราสาท
ส่วนเราไปนอนที่ฟาร์มท้ายปราสาทครับ อิอิ ขับเข้าไปแปปเดียวก็ถึงแล้วครับ
ส่วนในรูปที่เห็นนี้เป็นที่พักอีกแบบ รุ้สึกจะเป็นรายเดือน
ถึงแล้วครับ ที่พักของเรา The Granary ภายใน Markree Castle ราคา 460 euro / 2 คืน ครับ
ตอนแรกก็อยากนอนบนปราสาท แต่ราคาสูงเกินไปหน่อย เลยขอเป็นแค่ โฮมฟาร์ม ละกัน อิอิ
ปล่อยให้เจ้าหญิง เจ้าชาย เค้าสวีทกันสองคนก็พอครับ
สำหรับ The Granary เข้าใจว่ามีหลังนี้หลังเดียวนะครับ เป็นแบบ 4 ห้องนอน
ส่วนที่เหลือภายในบริเวณนี้จะเป็นส่วนของ The Apartment ซึ่งมีให้เลือกทั้ง 1, 2 และ 3 ห้องนอน
สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1771 อายุก็ 200กว่าปีแล้วครับ ไม่น่าเชื่อ แต่เค้าเพิ่งตกแต่งใหม่เสร็จเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาครับhttp://homefarm.markreecastle.ie/
เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในก็จะเป็นแบบนี้ครับ โอ่อ่าใช้ได้เลย
ตอนที่จองมีรูปที่พักให้ดูน้อยมากครับ แต่คิดว่าน่าจะโอเค
การตกแต่งของที่นี่เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ ผสมผสานทั้งแบบสไตล์ไอริช และโมเดิร์น เข้าด้วยกัน
มี heater ทั่วทั้งหลังเลย
มาเริ่มสำรวจกันเลยนะครับ เข้ามาปั๊ป ซ้ายมือ เป็นส่วนของห้องน้ำชั้นล่าง
แต่ห้องนี้ไม่มีส่วนของ shower
ของตกแต่งเก๋ๆ
ส่วนฝั่งขวาเป็นห้องนอน แบบ Twin Bed ครับ ห้องนี้ก็เล็กๆ เท่าที่เห็นครับ
ด้านหลังเป็นตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำ
ห้องน้ำ ทรงยาว ใช้ร่วมกับอีกห้องนอน
มี shower gel, shampoo และ สบู่
ส่วนของ shower ครับ ตรงนี้มืดไปหน่อยครับ ไม่มีไฟซักดวง
ออกจากห้องนอนแรก เราไปชมห้องนอนต่อไปกันบ้างครับ อยู่มุมด้านขวา
เป็นเตียง 2 ชั้นครับ เวลานอนพลิกตัว เสียงเตียงมันดังมาก อิดออด ตลอดเวลา
ส่วน ประตูเล็กๆด้านซ้ายที่เห็นไฟส้มๆ คือ ประตูห้องน้ำครับ ที่ใช้ร่วมกับห้องนอน เมื่อกี้
มีตู้เสื้อผ้าให้ด้วย
ในห้องนอนนี้มีประตูเชื่อมต่อไปยังห้องซักล้าง ด้านหลัง
และต่อไปยังห้องเก็บของ มีอุปกรณ์ต่างๆ เยอะเลยครับ บริเวณนี้ออกแนวน่ากลัวนิดๆ
และประตูมันล๊อคตรงส่วนนี้ไม่ได้เลย สงสัยว่าที่ล๊อคจะเสีย พอเวลานอน ได้ยินเสียงประตู ก็ออกแนวผวา
ไปดูห้องสุดท้าย Master Bedroom ครับ อยู่ตรงข้ามกับห้องเมื่อครู่
ห้องนอน นี้มีขนาดใหญ่ทีเดียวครับ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ดูหรูหรา
มีหน้าต่างรอบด้าน ทำให้ห้องดูโปร่งครับ ไม่อึดอัด
ชอบเฟอร์นิเจอร์ห้องนี้มากครับ สวยหรูดูดี
ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่
เราขึ้นไปดูชั้นบนกันบ้างดีกว่า
จากชั้นบนมองลงไปชั้นล่าง บันไดก็ไม่กว้างมาก
ขึ้นบันไดมา เลี้ยวซ้ายก็จะเจอส่วนของครัว
หรูหรา น่าทำอาหารมาก
อุปกรณ์ครัว ครบทุกอย่าง
ใกล้กันเป็นส่วนของโต๊ะรับประทานอาหารครับ แต่โต๊ะเล็กไปหน่อย
แต่ก็โอเคครับ อบอุ่นดี
มีโซฟาหนังตัวใหญ่ นั่งสบายมาก
เดินไปดูอีกฟากนึงกันบ้างครับ .. เวลาเดินในบ้านนี่ก็งงเหมือนกันนะครับ
เพราะพื้นที่ในบ้านแบ่งสองฝั่ง คล้ายๆกัน เดินทีก็งงที
จากชั้นสอง มีช่องแสงที่สามารถเห็นนอกบ้านได้ด้วยครับ
เวลามีคนมา ก็มองจากตรงนี้ได้เลย
ด้านซ้ายยังมีห้องน้ำเล็กๆ ด้วยครับ
เล็กมากกกกก แต่เค้าออกแบบดีทีเดียวครับ ชอบ
ฝั่งนี้จะเป็นห้องพักผ่อน ดูหนังฟังเพลง
มีเตาผิงด้วยครับ ถ้าอากาศหนาวๆ คงได้บรรยากาศ
โซฟาสีเลือดหมูชุดใหญ่ นั่งสบาย
ขึ้นไปอีกชั้นนึง เป็นห้องใต้หลังคา แต่เปิดโล่งถึงชั้น 2 นะครับ ไม่ได้กั้นเป็นห้อง ตรงนี้มีเตียงนอนอีก 1เตียง
แต่เสียดายไม่ได้กั้นเป็นห้องครับ กะจะมานอนซักหน่อย ก็ไม่กล้า
เดินไปส่องชั้น 2 กัน
อีกฝั่งนึง
สำรวจในบ้านเสร็จแล้ว ออกมาด้านหลังบ้านกันครับ
มีโต๊ะไม้ และเตาปิ้งบาบีคิวอยู่ด้านนอก สามารถใช้ได้
มีสนามหญ้าหลังบ้านพร้อมสวนเล็กๆ ด้วย
และรูปปั้นคนสีขาว ตรงกลางสวน ถือเป็นสัญลักษณ์ ของ The Granary เลย
จากตัวบ้าน ฝั่งตรงข้ามจะเป็นตึกเล็กๆ ภายในมี sauna
และ jacuzzi ครับ เสียดายถ้ามีเวลาจะมาใช้บริการซักหน่อย
สำรวจกันเกือบจะหมดแล้ว ก็ได้เวลาทานอาหารมื้อเย็น
ทานเสร็จ ก็รอเวลาถ่ายแสงทไวไลท์ กันครับ
จริงๆ เหนื่อยและขี้เกียจสุดๆ จนไม่อยากถ่าย แต่ก็กัดฟัน เอาซักหน่อย
มุมส่วนพักผ่อน ยามค่ำคืน
ออกไปเก็บภาพด้านนอกกันบ้างครับ อากาศเย็นทีเดียว
รีบถ่ายแล้วก็รีบเข้าบ้านครับ บรรยากาศเริ่มจะวังเวง
ขอลากันไปด้วยรูปนี้ละกันครับ กับบรรยากาศปราสาทมืด
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คห. และขอบคุณสำหรับกิฟด้วยครับ
พบกันใหม่ตอนหน้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น