วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

OLOS in IRELAND, i'LL BE THERE [Day5] " Cliffs of Moher and The Burren, Galway "

สวัสดีครับ 

ตอนนี้ก็เข้าสู่วันที่ 5 ของการเดินทางแล้ว

คราวก่อนไปนั่งรถชมวิวกันที่ Dingle Peninsula กันแล้ว ซึ่งวิวก็สวยไม่แพ้ที่อื่นเลย

วันนี้เราจะออกเดินทางจากเมือง Kenmare ทางตอนใต้ เพื่อไปยัง Cliffs of Moher และ The Burren

และท้ายสุดไปพักค้างคืน กันที่เมือง Galway  ตอนกลางของไอร์แลนด์



แผนการเดินทางวันนี้

Kenmare - Cliffs of Moher - Kilnofera - The Burren - Amber Hill B&B 



วันนี้เราออกจากที่พักกันประมาณ 9 โมง ครับ

เมื่ออยู่ในเมืองก็ไปเติมน้ำมันกันก่อน ครับเพื่อความสบายใจ  เกิดน้ำมันหมดกลางทางล่ะก็ยุ่งเลย



และแน่นอน เช้านี้ ฝนตกครับ สภาพอากาศแย่จริงๆ แถมยังมีหมอกลงอีกต่างหาก


เช้านี้เลยได้เห็นวิวขาวๆ  แบบนี้ไปตลอด


ผู้คนที่นี่คงชินกับฝนตกนะครับ เค้าไม่ค่อยกลัวฝนกันเท่าไร 


เราตรงไปทาง Limerick ครับ ซึ่งจะผ่าน Tralee

 
 ผ่านเมือง  Farranfore   ฝนตกแบบนี้ ทำเอาเซ็งเหมือนกัน


Kerry Airport

ที่นี่ก็มีสนามบินนะครับ แต่เเป็นสนามบินเล็กๆ   ไฟลท์ส่วนใหญ่ก็เป็นไฟลท์ใกล้ๆ อย่าง อังกฤษ หรือในประเทศ ครับ
http://www.kerryairport.com/


ตอนนี้เริ่มเข้าใกล้ เมือง Tralee แล้ว



พอเข้าทางหลวง มีถนนใหญ่ 2 เลน ก็ขับกันสบายๆ   แต่ฝนก็ยังตกปรอยๆ ตลอดทาง



ถนนช่วงนี้มีกำแพงไม้กั้นตลอดทางเลยครับ อาจจะใช้กั้นเสียง





เข้าสู่เมือง Abbeyfeale ครับ

ถ้าเมืองใหญ่หน่อยก็จะมีปั้ม   ปั้มน้ำมันที่นี่ แต่ละเมือง ราคาไม่ต่างกันมากเท่าไร



หลังคาตึกที่นี่เค้าสร้างแบบชิดเลย ไม่มียื่นมาเป็นกันสาด กันฝนเลย ทั้งๆ ที่ฝนก็ตกบ่อยๆ


โคมไฟถนนสวยดี นะครับ น่ารักเชียว


เริ่มเข้าสู่ Co.Limerick แล้วครับhttp://www.limerick.ie/


กังหันลมยักษ์สีขาว เต็มเลยครับ แสดงว่าแถวนี้ ลมแรงแน่ๆ


ที่นี่ถ้ามีการซ่อมถนน เค้าจะมีป้าย หรือสัญลักษณ์ บอกล่วงหน้า ก่อนถึงจุดซ่อมเยอะเลยครับ

ไม่เหมือนบ้านเรา มาบอกเอาตอนใกล้ๆ จะถึง





ป้ายรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยที่นี่ ก็คล้ายๆ บ้านเรา


ฝนก็ตกๆ หยุดๆ สลับไปมาตลอดทางครับ น่าเบื่อมาก


ตอนนี้เรามาถึงเมือง Adare แล้วครับ

ผมชอบบรรยากาศเมืองแบบนี้จัง  ตึกสีสวย  ไม่วุ่นวาย ดูเงียบๆ
http://www.adarevillage.com/


Thatched Cottage หลังนี้น่ารักมากครับ หน้าต่าง ประตูสีเหลืองสด แถมยัง ปลูกดอกไม้สวยๆ เต็มหน้าบ้าน


น้องแมวริมหน้าต่างน่ารักเชียว


ตอนนี้ในตัวเมือง Adare ฝนกำลังตกครับ  เราเลยหาที่จอดรถ แวะหลบฝน กลางทางก่อน


และเราก็แวะกันที่นี่ครับ  Adare Heritage Center


จอดรถกันที่ด้านนอก เดินฝ่าฝน เข้ามาด้านใน มีร้านค้าอยู่ 4-5 ร้าน

ทั้งกิฟช๊อป ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ต่างๆ



เราเดินดูซื้อของกัน ซักพัก จนเห็นว่าฝนหยุดตก ก็เดินออกมาด้านหน้า ถนน ที่เราขับผ่านเมื่อสักครู่นี้

ท้องฟ้าใสเชียวครับ ผิดกับเมื่อครู่



ตรงนี้มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง



Trinitarian Abbey

ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1230 และได้รับการบูรณะใน ปี ค.ศ. 1811 และ 1852
http://www.limerickdioceseheritage.org/Adare/chAdare.htm


มุมนี้เป็น Thatched House หลังใหญ่เชียวครับ

เค้าทำเป็นร้านอาหาร สีสวยสดจริงๆ  แอบไปยืนถ่ายรูปตั้งนาน



เดินถ่ายรูปใกล้ๆ กันเสร็จแล้ว เราก็รีบกลับไปที่รถ มาจัดการอาหารญี่ปุ่นที่เตรียมมา


อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อ


ไปทาง Galway ครับ  แต่ดูป้ายข้างทาง เยอะจริงๆ


ข้างหน้าเหมือนเป็นโรงงานอุตสาหกรรม 


เรากำลังจะลงอุโมงค์ครับ  ยาวใช้ได้


เสียค่าผ่านทางอีกแล้วครับ  3.20 euro 


ฟ้าทะมึนมาเลย


แต่ ถัดมา ฟ้าเป็นแบบนี้  เปลี่ยนเร็วจริง


ร่มรื่นสวยงาม


อีก 76 km จะถึง Galway ครับ

เราใช้เวลากับการเดินทางนานเหมือนกัน



เป้าหมายแรกของวันนี้คือ Cliff of Moher 


เป็นที่นึงที่อยากมาเห็นกับตาว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน


เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายเลย


อยากมีบ้านแบบนี้  น่ารักมาก




เหมือนบ้านจำลองเลย


เข้าสู่เมือง Inagh


ในตัวเมืองเป็นแบบนี้ครับ แต่ไม่ได้แวะ


ซากของโบสถ์  มั้งครับ ไม่แน่ใจ แต่เหลืออยู่เล็กนิดเดียว


ไปตามเส้น N67 เลยครับ   นั่งมาไกลเหมือนกันนะเนี่ย เพราะเรากำลังขึ้นไปที่ตอนกลาง ของประเทศแล้ว


ช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ  เห็นวิวทะเล ลิบๆ ครับ ท้องฟ้าดูกว้างใหญ่


มีบ้านหลายหลังเลยครับ ที่ปลูกอยู่ใกล้ๆ ชายทะเล 


เข้าสู่เมือง Lehinch แล้ว


บรรยากาศยังกับเมืองร้างเลย ว่าไหม


ผ่านทุ่งเลี้ยงวัว


มองผ่านๆ ยังกับทะเลทราย


เห็นโรงแรมชื่อเดียวกัน แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว


ตรงไป


ถนนช่วงนี้จะเลียบเนินไปเรื่อยๆ


ถึงแล้วครับ Cliffs of Moher

ด้านซ้ายเป็นลานจอดรถ เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดเลย



เข้าไปที่จอด ก็ซื้อตั๋วกันตรงนี้เลยครับ

Adult 6 euro / senior 4 euro
http://www.cliffsofmoher.ie/


อดรถเสร็จ ก็เดินข้ามถนนมาอีกฝั่งนึงครับ

เวลาเปิดปิดของที่นี่แต่ละเดือนไม่เหมือนกันนะครับ ดูได้จากเวบนี้ครับ
http://www.cliffsofmoher.ie/GenericPage.aspx?rowid=6726


เมื่อเดินเข้ามา ด้านขวามือจะเป็นส่วนของ Craftworker Street Shops มีร้านค้า หลายร้านเลยครับ แต่ไม่ได้เดินเข้าไปชม

นอกจากนี้ถัดไป ใกล้ๆ กันยังมีส่วนของ Visitor Centre ที่มีทั้งส่วนจัดแสดง,คอฟฟี่ช๊อพ , ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงห้องน้ำ ด้วย



เดินไปตามทางเรื่อยๆเลยครับ หมอกเยอะเลย


พอมาถึงจุดชมวิว ของ Cliffs of Moher ก็มีสภาพแบบนี้ครับcry

อากาศแย่มากๆ ครับ หมอกลงหนา



รออยู่เกือบชั่วโมง ก็เห็นได้เต็มที่แค่นี้ครับ  น่าเสียดายมากๆ ขี้แง

สำหรับ Cliffs of Moher ถือเป็นหนึ่งในสถานที่อันดับต้นๆ ของไอร์แลนด์ ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนครับ

หน้าผา แห่งนี้ ที่จุดสูงสุดมีความสูงถึง 214 เมตร เหนือมหาสมุทรแอตแลนติก แนวผาทอดยาวกว่า 8 กิโลเมตร บนชายฝั่งตะวันตกของ Co.Clare ใหญ่โตมาก



เราเดินขึ้นไปด้านบนกันต่ออีกนิด ไปชม O’Brien's Tower ต่อครับ หมอกหนาเหมือนกัน

O’Brien's Tower สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1835 โดย Cornelius O'Brien

เพื่อ เป็นจุดชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งที่จุดนี้  สามารถมองเห็น   Aran Islands, Galway Bay รวมถึง  The Twelve Pins ได้ด้วยนะครับ

Cliffs of Moher ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและทำรัง ที่สำคัญ ของนกทะเล หลายชนิดเลยครับ  จน EU ได้กำหนดให้เป็นพื้นที่คุ้มครองพิเศษ (SPA)



วันที่ฟ้าปลอดโปร่งจะเห็นแบบนี้ครับ

ขอบคุณรูปจากเวบ  
http://www.cliffsofmoher.ie


เป้าหมายต่อไป เรา คือ Kilfenora 


บรรยากาศดำทะมึนมาก


นั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆนะครับ

ตรงไปตามป้ายเลย



ถึงที่นี่แล้วครับ  " Burren Centre Kilfenora "

 
 เข้าไปด้านใน ก็มีพวกสินค้า และส่วนจัดแสดงต่างๆ ครับ

และที่สำคัญมีห้องน้ำด้วย



วิวเมือง บริเวณด้านนอกของ  Burren Centre Kilfenora


เงียบสงบดีจัง


จากนั้นเราก็เดินเข้าไปในซอยข้างๆ Burren Centre ครับ ผ่านบ้านพักอาศัย

เจ้าสุนัขตัวนี้ นั่งอยู่ในบ้าน  พอเห็น คนแปลกหน้า เดินผ่านหน้าบ้าน ก็เห่าทันที  ขนาดอยู่ในบ้าน ยังตาดีอีกนะเนี่ย



เหมือนว่าเราจะเข้าผิดด้าน มาทางด้านหลังนะครับ 555 ต้องเดินลอดประตูเล็ก ที่เห็นในภาพเข้าไป

ผ่านหลุมฝังศพด้วยครับ บรรยากาศแบบว่า ขนลุกเลย



จากนั้นก็เดินลัดเลาะตามหลุมศพ ไปโผล่ที่ด้านหน้าครับ

ด้านหน้าก็มีทางเข้านี่นา ทำไมไม่เข้าทางนี้ละเนี่ย



เข้ามาด้านในก็จะเป็นแบบนี้ครับ มีหลังคากันฝน อย่างดี

สำหรับ Kilfenora Cathedral ซึ่งเป็นสถ์ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ .1189  มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ซึ่งเห็นได้จากงานแกะสลักบนหลุมฝังศพ รวมทั้งหน้าตา และประตู
http://www.theburrencentre.ie/the-centre/kilfenora-cathedral.html


Kilfenora ถือเป็นศูนย์กลางศาสนาของ Co.Limerick

โดยเฉพาะ  The Doorty Cross ของ Kilfenora ถือเป็น  High crosses มีชื่อเสียงมากในไอร์แลนด์



แต่ละด้านก็จะมีลวดลายที่ต่างกันไป



The North Cross ตั้งอยู่อีกมุมนึง


ตามข้อมูลบอกว่า ต่างกันตรงที่ไม่มีส่วน ของ ringed head


ที่ Kilfenora มี ไม้กางเขนหินที่ได้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างน้อย 6-7 ชิ้น  และ เป็นไม้กางเขนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

ซึ่งไม้กางเขนนี้ถูกสร้างราว ปลายศตวรรษที่ 11 ถึง ต้นศตวรรษทื่12 บางส่วนถูกนำไปใช้แทนหลักเขตพรมแดน

บางส่วนก็ใช้ เพื่อเป็นหลักนำทางเข้าสู่เมือง



รุป Kilfenora Crosses อยู่นี่ครับ


อีกจุดนึง ด้านซ้ายจะเห็น ลวดลายที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงาม

ได้เวลาเดินทางต่อแล้ว



พื้นที่ในเขตนี้จะเต็มไปด้วย รั้วหินเล็กๆ เป็นแนวยาวคล้ายเส้นแบ่งพื้นที่


ปราสาทข้างทาง  Leamanagh castle




ถึง Caherconnell Fort แล้ว ซึ่งเป็นส่วนนึงของ The Burren ครับ แต่เสียดายที่มาถึงตอนที่เค้าปิดแล้ว เศร้าเลย http://www.burrenforts.ie/


ตอนนี้เรามาถึงตรงนี้แล้วครับ   เดี๋ยวเราจะเดินทางต่อไปยัง Poulnabrone Dolmen ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน


ถึงแล้วครับ  Poulnabrone  ซึ่งอยู่ในส่วนของ The Burren เช่นกัน

สำหรับ The Burren ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของ Co.Clare



เป็นแหล่งที่มีหินปูนขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมอาณาบริเวณยอดเขา และที่นี่ยังเป็นแหล่งที่อุดมของพืชพรรณและสัตว์ป่ามากมาย



เดินตามทางเข้ามาประมาณ 100 เมตรก็จะพบ " Poulnabrone Dolmen " ที่ตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางแผ่นหินปูนมากมายhttp://www.burrenforts.ie/main/burren/dolmen/


ด้านล่างสุดคือส่วนที่เรียกว่า  " Cairn " ซึ่งเป็นแผ่นฐานรุปคล้ายวงรี ที่ช่วยเพิ่มความมั่นคง

ส่วนที่รองรับแผ่นหิน ใหญ่ ที่เปรียบเสมือน เสาทั้งสองด้าน เรียกว่า " Portal Stones "

ก้อนเล็กที่วางอยู่ระหว่างฐานทั้งสองด้าน เรียกว่า " Sill Stone "

ส่วนที่อยู่ด้านบนสุด ที่เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ เรียกว่า " Caps Stone "




ด้วยความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของก้อนหินขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะรูปทรงแปลกตา หินบางก้อนมีอายุยาวนานยิ่งกว่าพีระมิดอียิปต์ซะอีกครับ

และเวลาเดิน ต้องใช้ความระมัดระวังตามซอกหลืบหินด้วยครับ อาจจะพลาดได้



ในความเงียบสงบของธรรมชาติรอบด้าน ที่นี่ยังเป็นแหล่งอุดมของพันธุ์พืช และสัตว์ป่าอีกแห่งของไอร์แลนด์อีกด้วย







จาก The Burren เรามุ่งหน้าตรงสู่ที่พักของเรา ที่เมือง Galway




บ้านหลังเล็ก กับทุ่งหญ้าสีเขียวที่กว้างไกลสุดสายตา

แค่มองก็มีความสุขแล้ว




ท้องฟ้ากำลังจะสดใสแล้ว


เลี้ยวขวา ตรงไปที่เส้น N67 สู่ Galway นะครับ

ประมาณ 60 km. ก็จะถึงแล้ว



เข้าสู่เมือง Ballyvaughan  บนถนนไม่มีไหล่ทางเลยครับ น่ากลัวเหมือนกัน


และผ่านแยกนี้ครับ  จอดแทบไม่ทัน   นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกับป้าย ตรงนี้กันครับ

เพราะว่ามีป้ายเยอะจริงๆ  เราก็ลงมาถ่ายกันด้วย









เข้าสู่เมือง Kinvara

โรงแรม The Merriman Inn เด่นจริงๆครับ  ดูจากหลังคา ยังคงความเป็นไอริชอยู่



ผ่าน Dungaire castle


ใกล้ถึง Galway แล้ว


พอเข้าสู่ Galway  มีการซ่อมแซมถนน ทำให้เราต้องใช้เส้นทางอื่น ก็งงไปซักพักครับ

แต่ด้วยความเก่งของคนขับรถกิติมศักดิ์ของเรา  ก็หายห่วง



ถึงที่พักของเราแล้วครับ  Amber Hill, Bed & Breakfast

ตอนเราหาที่พักที่เมืองนี้ หากันนานมากครับ กว่าจะเจอที่ถูกใจ  โดยในส่วนของบ้านหลังนี้ มี 2 ชั้น

ทั้งหมด 21 ห้องครับ และด้านหลังมีอีกตึกที่เป็นส่วนของ Self-catering
http://www.amberhillbb.ie/


หลังจากจอดรถที่ด้านหน้าบ้าน แล้วเราก็ขนของรวมถึงเสบียงไปที่ด้านหลังบ้านกันครับ

ในส่วนของ Self-catering สามารถนอนได้ 4 คนครับ    ราคาห้องละ 79 euro เท่านั้น

ราคานี้ถูกมากๆ แต่ ลำบากนิดหน่อยก็ตอนขนกระเป๋า  ผ่านซอกแคบๆ ไปที่หลังบ้าน



ในห้องก็มีเตียงคู่ 1 เตียง เตียงเดี่ยว 2 เตียงครับ ประตูที่เห็นเป็นส่วนของห้องน้ำ ครับ

เสียอย่างเดียว ในห้องมีไฟน้อยไปหน่อย



มีผ้าขนหนูให้พร้อมผ้าเย็น และมีช๊อคโกแลตให้ด้วย


ห้องก็เล็กกะทัดรัด เต็มแน่นไปด้วยเตียงนอนครับ555

ด้านในสุดเป็นครัว



ครัวเล็ก แต่ก็ทำอาหารได้นะ


ห้องน้ำก็สะดวกสบาย


ข้างห้องมีสวนเล็กๆ ด้วยครับ

สำรวจด้านหลังกันแล้ว เดี๋ยวเราขึ้นไปชมห้องอีกแบบที่บนตัวบ้านด้านหน้ากัน



เข้ามาด้านขวามือ ก็จะเป็นส่วนของห้องนั่งเล่น และห้องอาหาร


ตกแต่งด้วยผนังสีเหลือง ตัดกับโซฟาสีแดงสด

ที่นี่มี internet และ printer บริการฟรีด้วย



ขึ้นไปชั้น 2 กันดีกว่าครับ ด้านบน มีตู้น้ำดื่มให้ด้วย


พอเปิดห้องมา โอ้ว สวยกว่าที่คิด

ห้องนี้เป็นห้อง Superior double rooms  ราคาห้องละ 48 euro



เด่นตรงลายวอลเปเปอร์นี่แหละครับ  ที่นี่ก็เพิ่งตกแต่งใหม่ มาได้ ปีกว่าๆ




มีชา กาแฟ  แครกเกอร์ให้ด้วย


ทีวี เคเบิ้ล หรือแม้แต่เตารีด ก็มีให้นะครับ


ห้องน้ำโทนสีขาวดำเช่นกัน


มีอ่างอาบน้ำ และ ฝักบัว

ส่วนตัวไม่ค่อยชอบยืนอาบในอ่างเท่าไร ไม่ค่อยสะดวกเลย



และปิดท้ายคืนนี้ด้วยอาหารเย็นแสนอร่อย


เช้าวันใหม่ เราลงมาทานอาหารกันประมาณ 07.30 ครับ

ค่าห้องไม่รวมอาหารเช้า เราซื้อเพิ่มจากปกติ 6 euro เค้าลดให้เหลือคนละ 4 euro








มื้อเช้าแน่นอนว่าเป็น Irish Breakfast เหมือนเคยนะครับ

มื้อนี้กินไม่ค่อยลงอีกแล้วครับ ถ้าข้าวไข่เจียวก็ว่าไปอย่าง อิอิ

หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จ ก็เตรียมตัวขนกระเป๋าขึ้นรถให้เรียบร้อย

สำหรับครั้งหน้าเราจะออกเดินทางไปที่ไหนกันต่อ  ติดตามชมกันนะครับ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น